ติดตามผ่านช่อง : Siammongkol Youtube Channel

รามเกียรติ์

รามเกียรติ์ ตอนที่ 8 กำเนิดพาลี สุครีพ และนางสวาหะ

ในบรรพกาลกว่าสองพันปีล่วงมาแล้ว พระฤาษีโคดมออกบวชพำเพ็ญพรตเป็นดาบสฤาษีอยู่ในป่า แต่เดิมนั้น พระฤาษีโคดมผู้นี้ เคยเป็นกษัตริย์ครองเมืองสาเกด แต่ไม่มีโอรสธิดาจึงออกป่ามาบวช นั่งบำเพ็ญพรตเป็นเวลานานปีทำให้ฤาษีโคดมมีหนวดเครายาวผมเผ้ารกรุงรัง จนมีนกกระจาบป่าคู่หนึ่งมาทำรังในหนวดของฤาษีโคดมเพื่อออกไข่เป็นประจำทุกๆ ปี ในปีนี้ก็เช่นกัน นกกระจาบผัวเมียก็มาอาศัยหนวดพระฤาษีทำรังอย่างเคย จนนางนกกระจาบตัวเมียออกไข่ วันหนึ่งนกตัวผู้ก็บอกแก่นางนกตัวเมียให้อยู่เฝ้ากกไข่ที่รัง ส่วนตนนั้นจะบินออกไปหาอาหารแล้วนกผู้ผัวก็บินจากไป

นกตัวผู้บินออกหาอาหารมรจนถึงสระบัวใหญ่ในป่าหิมพานต์ ดอกบัวบานสรั่งเต็มไปหมด ก้บินลงไปจิกกินเกสรเบิกบานสำราญใจอยู่นานจนลืมเวลา ครั้นเวลาพลบค่ำ แดดอ่อนลง กลีบบัวที่เบ่งบานรับแสงก็เริ่มห่อหุ้มกลับตูมไว้รอแสงแห่งวันใหม่ นกกระจาบตัวผู้ที่หลงเพลินจิกกินเกสรอยู่ ก็ถูกดอกบัวใหญ่ห่อหุ้มติดอยู่ในดอกบัวตลอดทั้งคืน ครั้นย่ำรุ่งแสงแรกแห่งวันส่อง ดอกบัวเริ่มแย้มกลีบบานอีกครั้ง นกกระจาบสามีก็รีบบินกลับรังไป

ฝ่ายนางนกตัวเมียก็ตัวผู้กลับมา เมื่อได้เห็นหน้านกผัว ก็โกรธสบถด่าทอว่า ทำไมไปหาอาหารแล้วกลับมาเอาเวลาป่านนี้ นกตัวผู้จึงเล่าให้นางนกฟังว่าตนนั้น ติดอยู่ในดอกบัวใหญ่ ไม่อาจกลับมาได้ ครั้นเวลาวันใหม่ดอกบัวบานอีกครั้งจึงได้รีบบินกลับ แต่นางนกนั้นก็หาเชื่อวาจา ของนกตัวผู้นั้นไม่ หาว่านกสามีตนนั้นโกหก ไปคบชู้ไปสมสู่กับนางนกตัวอื่น จนเช้าตรู่ถึงได้กลับรัง นกตัวผู้จึงออกปากเอ่ยคำสาบาน ว่าถ้าตนนอกใจไม่ได้พูดความจริง ขอให้บาปทั้งหมดของตัวฤาษีโคดมนี้จงตกมาอยู่กับตน

 

เมื่อฤาษีโคดมได้ยินเสียงนกกระจาบผัวเมียด่ากัน จึงถามนกกระจาบตัวผู้ไปว่าตัวพำเพ็ญพรตมาถึงสอบพันปีแล้วบาปกรรมจะมีได้อย่างไร แล้วเอ็งจะมารับบาปกรรมจากตัวข้าได้อย่างไรเล่า นกกระจาบผู้ผัวจึงตอบแก่ดาบสไปว่า ตัวข้านี้สาบานด้วยกลัวผิดใจกับเมีย แต่บาปท่านนั้นมีอยู่ข้อใหญ่ แต่เดิมท่านเป็นถึงกษัตริย์ครองเมือง ไม่มีโอรสและธิดา แล้วสละสมบัติมาออกบวชจนทำให้ขาดคนสืบราชสมบัติ ข้อนี้เป็นบาปข้อใหญ่ของท่าน เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นแล้ว เห็นเป็นจริงดั่งคำนกกระจาบว่า จึงคิดว่าตนควรจะมีลูกไว้สืบบัลลังก์

เมื่อคิดดังนั้นฤาษีโคดมจึงออกมาชำระร่างกายแล้วทำพิธีกองกูณฑ์อัคคี พิธีบูชาไฟ แล้วก้บริกรรมคาถาไป เมื่อร่ายคาถาจนครบหนึ่งพันจบ ก็เกิดแผ่นดินไหว แยกตัวเกิดเป็นสาวงามอยู่ท่ามกลางกองเพลิง จึงตั้งชื่อได้ให้ว่า “นางกาลอัคคี” ซึ่งแปลว่านางที่เกิดมาจากกองเพลิง เพื่อที่จะได้มีโอรสธิดาไว้ครองกรุงสาเกดตามคำของนกกระจาบตัวผู้ พระฤาษีโคดมจึงสมสู่อยู่กินกับนางกาลอัคคีในอาศรมกลางป่านั้น จนหลายเดือนต่อมานางกาลอัคคีก็คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง ฤาษีโคดมจึงตั้งชื่อให้ว่า “นางสวาหะ” ซึ่งเป็นคำจบสุดท้ายของการท่องบทสวดคาถาต่างๆ

วันหนึ่งพระฤาษีโคดมก็ให้นางกาลอัคคีอยู่อาศรมเลี้ยงนางสวาหะ แล้วตนจะเข้าป่าไปหาเก็บผลไม้มาให้ แล้วก็บ่ายหน้าเดินเข้าป่าไป ฝ่ายพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อทราบว่านนทก มาจุติเกิดเป็นทศกัณฐ์ ลูกท้าวลัสเตียนแห่งกรุงลงกา ผู้ที่จะเบียดเบียนก่อความวุ่นวายให้โลกต่อไป ส่วนพระนารายณ์นั้นจะไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปราบทศกัณฐ์นี้ เห็นทีจะต้องแบ่งกำลังของตนลงไปเพื่อเป็นทหารค่อยช่วยยามที่พระนารายณ์อวตารลงมาทำศึก เมื่อเพ่งตาทิพย์ไปก็เห็นนางกาลอัคคีสามีออกไปป่า อยู่อาศรมแต่เพียงผู้เดียวจึงคิดจะลงไปสัมผัสกายให้นางเกิดกำหนัด เพื่อจะได้มีโอรสกับนาง คิดดังนั้นพระอินทร์ก็เสด็จไปยังอาศรม

เมื่อไปถึงอาศรมฤาษีเห็นนางกาลอัคคี ก็เข้าไปพูดจาปราศรัยด้วย ฝ่ายนางกาลอัคคีเห็นพระอินทร์ร่างกายมีรัศมีงดงาม ก็นึกชอบใจขึ้นมา แต่ด้วยความละอายจึงเบือนหน้าหนี พระอินทร์จึงขยับเข้าไปใกล้พลางใช้มือลูบไปที่แผ่นหลัง ของนางทำให้นางกาลอัคคีเกิดความกระสันรันจวน มีจิตประดิพัทธ์ต่อพระอินทร์ พระอินทร์จึงได้สู่สมภิรมย์หมาย กับนางกาลอัคคี แล้วก็ลากลับสรวงสวรรค์ไป

ฝ่ายฤาษีโคดมกลับมาจากป่า ก็ไม่ได้เห็นท่าทีผิดแปลกแต่อย่างใด ด้วยให้ความสนใจใกล้ชิดแต่ลูกรัก ครั้นครบถ้วนเวลาสิบเดือน นางกาลอัคคีก็คลอดบุตรออกมาเป็นชายผิวพรรณผุดผ่อง สีเขียวดุจมรกต งามเหมือนดั่งองค์พระบิดา แต่ฤาษีโคดมก็หลงรักด้วยคิดว่าเป็นบุตรของตน จึงดูแลเอ็นดูมากเกินกว่านางสวาหะ

วันหนึ่งฤาษีโคดมก็เข้าป่าหาเก็บผลาอาหารดังเช่นที่เคยทำ ก่อนออกไปก็สั่งนางกาลอัคคีให้ดุแลบุตรให้ดี แล้วก็ลาเข้าป่าไป เมื่อฤาษีเข้าป่าไปแล้ว นางกาลอัคคีที่นั่งอยู่ในศาลาเห็นมองเห็นพระอาทิตย์ เรืองแสงสีทองสวยงาม ขับรถลอยผ่านมากลางเวหาก็นึกชื่นชมเสน่หาในความงาม จึงยกมือขึ้นอธิษฐานต่อองค์พระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงส่องทิพยเนตรมองลงมา ก็ทราบว่าเป็นนางกาลอัคคี ที่อธิษฐานต่อตนเอง ด้วยความประดิพัทธ์เสน่หา จึงคิดจะแบ่งฤทธิ์ลงมาเพื่อช่วยพระนารายณ์อวตารในภายหน้า ว่าแล้วจึงสั่งให้สารถี  ชักราชรถนำแสงพระอาทิตย์นำไปก่อน ส่วนตนเองเหาะลงมาหานางกาลอัคคีถึงที่อาศรม

แล้วก็พูดจาทักทายปราศัย ด้วยความอายที่รู้ว่าพระอาทิตย์ทราบว่าตนหลงใหลในร่างกายคาวมงามของพระอาทิตย์ จึงแสดงกริยาเขินอายไม่มองหน้า แต่หันมาสบตาครั้งไป พระอาทิตย์จึงตรัสกับนางไปว่า นางนั้นงามนักจะหลบหน้าไปทำไม พี่นี้ก็รักเจ้าดั่งดวงใจ จึงได้เหาะลงมาหา ว่าแล้วก็กอดจูบลูบคลำ นางกาลอัคคี และได้สู่สมภิรมย์ขวัญกับนาง  ครั้นเวลาเสร็จสมกิจพระอาทิตย์ก็ลากลับไปสู่พิชัยราชรถขับแสงส่องเวหาต่อไป

พระฤาษีกลับมาด้วยความเหนื่อยก็พักและเล่นล้อกับลูกทั้งสอง ไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด ส่วนนางกาลอัคคี ตั้งแต่ได้ยินดีสโมสรกับพระอาทิตย์ทินกรก็บังเกิดครรภ์ เมื่อครบกำหนดเวลาก้คลอดลูกออกมาเป้นชายผิวกายสีแดง นางและฤาษีโคดมก็รักใคร่เลี้ยงดูด้วยกันมาอย่างดี

จนวันหนึ่งพระฤาษีเกิดอาการร้อนรนไปทั่วกาย จึงคิดจะไปสรงน้ำที่แม่น้ำ ว่าแล้วมือขวาจึงอุ้มลูกชายคนน้อยกายสีแดง (บุตรพระอาทิตย์) ลูกชายคนโต และลูกกายสีเขียว (บุตรพระอินทร์)  และจูงนางสวาหะเดินไปยังท่าน้ำ ฝ่ายนางสวาหะก็เคืองพระบิดาไม่ยอมอุ้มจึงเดินบ่นมาตลอดทางจนถึงท่าน้ำว่า

“อนิจจาหลงรักลูกเขา

ช่างเอาอุ้มชูแล้วให้ขี่

ลูกตนให้เดินปัถพี

ไม่ปรานีบ้างเลยพระบิดา”

พระฤาษีได้ฟังก็สงสัย จึงถามหาเหตุผล นางจึงตอบไปว่า เดิมทีพระบิดาออกไปป่า ส่วนนางกาลอัคคีอยู่อาศรมได้สมสุขเกษมศรีด้วยสองชายถึงสองครั้งสองคราที่อาศรมนั่นเอง

พระฤาษีได้ฟังวาจาก็เสียใจทั้งรักทั้งแค้นดั่งเอาไฟมาเผาหัวใจ เสียแรงรักใคร่แต่สุดท้ายกลับคบชู้สู่ชาย แล้วก็เกิดความสงสัยว่าลูกชายทั้งสองที่เลี้ยงมานั้นเป็นลูกของตนเองหรือไม่ ว่าแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานด้วยตบะพระฤาษีอันแก่กล้าว่าแล้วก็ยกมือกล่าวคำเสี่ยงทาย

“แม้นว่าสามเจ้านี้เป็นเนื้อ

เชื้อสายโลหิตแห่งข้า

ทิ้งออกไปกลางคงคา

จงว่ายกลับมาทันใด

แม้นว่าเป็นลูกชายอื่น

อย่าได้ว่าคืนเข้ามาได้

จงเป็นสวาวานรไพร

เสี่ยงแล้วขว้างไปในทันที”

ถ้าสามคนนี้เป็นลูกสืบเชื้อมาจริง เมื่อทิ้งไปกลางแม่น้ำแล้วขอให้จงว่ายกลับมา แต่ถ้าไม่ใช่ขออย่าให้ว่ายกลับมาได้ ขอให้กลายเป็นลิงเข้าป่าไป เสร็จแล้วจึงจับลูกทั้งสามคนโยนไปในแม่น้ำ

เมื่อโยนออกไปแล้วมีแต่เพียงนางสวาหะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ว่ายกลับมาได้ ส่วนลูกชายทั้งสองคนกลายร่างเป็นลิงแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่า เมื่อฤาษีเสี่ยงทายให้เห็นประจักษ์ตาแล้วจึงเข้าอุ้มนางสวาหะกลับมายังบรรณศาลา เมื่อถึงศาลาก้ร้องด่าทอนางกาลอัคคีออกไปว่าคบชู้เป็นกาลี จึงสาปสรรค์ว่า

“ด้วยมึงคบชู้สู่ชายขอให้ร่างกายจงเป็นหิน แม้พระนารายณ์อวตารลงมาสังหารเผ่ายักษ์ในทวีปลงกา จงให้เอาแผ่นศิลา นี้ไปจองถนน ให้มึงได้จมอยู่ใต้มหาสมุทรอย่าได้รู้ผุดขึ้นมาได้ ของให้เป็นไปตามคำสาปกูว่าไว้อีกาลี”

เมื่อนางกาลอัคคีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ร่ำให้เสียใจแล้วกล่าวแก่ธิดาว่า

“เสียแรงอุ้มท้องมาสิบเดือน คลอดแล้วดูแล้วถนุถนอมดูแลรักษา ทำไมมึงมีรู้คุณกูเลี้ยงมา กลับมาผลาญชีวากูบรรลัย นี่เมิงเป็นลูกในอุทร หรือว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ กูจะสาปมึงเอาไว้ ให้มึงได้รู้จักทรมาน จงไปยืนอ้าปากด้วยตีนเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่ในป่า เชิงเขาจักรวาล เมื่อมึงได้มีลูกวานร มีฤทธิ์เดชอันเลิศล้ำ แล้วจึงจะพ้นคำสาปสิ้นบาปอันอัปรีย์”

แล้วนางกาลอัคคีก็กลายเป็นหินไป ส่วนางสวาหะก็กราบลาพระบิดา กราบลาไปยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่ในป่าเชิงขอบเขาจักรวาล

ส่วนพระอินทร์และพระอาทิตย์เมื่อเห็นลูกถูกสาปเป็นลิงหากินอยู่ริมก็เกิดความสงสาร จึงลงไปเนรมิตเมืองขึ้นมาใหม่ นำวานรลิงทั้งหลายมาเป็นข้ารับใช้ เป็นเสนาอำมาตย์ แล้วตั้งชื่อเมืองว่า “บุรีขีดขิน” แล้วสอนพระเวทวิทยาคมต่างๆ ให้แก่บุตรทั้งสอง ครบถ้วน จนมีฤทธิ์เดช แล้วก็ตั้งชื่อให้ลูกพระอินทร์ผู้พี่ (กายสีเขียว) ว่า “กากาศพิริยจุลจักร” หรือพญาพาลี ให้เป็นเจ้าครองนครขีดขิน ส่วนลูกพระอาทิตย์ตั้งชื่อว่า “พญาสุครีฟ” เป็นมหาอุปราชของนครขีดขิน ทั้งสองพี่น้องจึงครองนครขีดขินสืบต่อมาเพื่อรอคอยพระนารายณ์อวตาร