รามเกียรติ์ ตอนที่ 9 กำเนิดหนุมานชาญสมร และชมพูพาน
เมื่อพระอิศวรทราบด้วยพระญาน ว่านางกาลอัคคีผู้เป็นเมียของฤาษีโคดม ได้สาป “นางสวาหะ” ซึ่งเป็นลูกฤาษีโคดมกับนางกาลอัคคี ให้ไปยืนตีนเดียวเหนี่ยวกิ่งไม้กินลมอยู่ที่เนินเขาจักรวาล ก่อนที่ตนนางกาลอัคคี จะกลายเป็นแผ่นหินไป ตามคำสาปของฤาษีโคดม พระอิศวรจึงมีดำริให้นางมีบุตร เพื่อแบ่งกำลังของพระอิศวรไปเกิด เพื่อรอคอยรับใช้พระนารายณ์ ในกาลภายภาคหน้ายามที่นารายณ์จะอวตารลงไป ปราบพญายักษ์ทศกัณฐ์ จึงสั่งให้พระพาย เทวดาเจ้าแห่งลมและพายุ พัดหอบเอาพลังกำลังกายแห่งพระอิศวรบรมนาถ รวมทั้งเทพศัตราวุธทั้งสามอย่างได้แก่ คฑาเพชร ตรีเพชร และจักรแก้ว ของพระองค์ไปเข้าปากนางสวาหะ ผู้ยืนกินลมที่เนินเขาจักรวาล ให้เกิดออกมาเป็นกระบี่ (ลิง) ที่มีพละกำลังอันเกรียงไกร พระพายจึงหอบเอากำลังของพระอิศวรและอาวุธทั้งสาม เข้าไปในปากของนางสวาหะ ที่ยืนเหนี่ยวกินลมอยู่นั้น บังเกิดเป็นพญาลิงจุติในครรภ์ของนาง โดยที่ศาสตราวุธทั้งสามคือ คฑาเพชร กลายเป็นกระดูกสันหลังตลอดหางขอวานรน้อย ทำให้เหาะเหินเดินอากาศได้ราวกับลมพัด เพชรสุรกานต์ เป็นร่างกาย มือเท้า เวลาจะสู้รบกับผู้ใดให้สามารถดึงเอาตรีเพชรสุรกานต์นี้ออกมาจากอกของตนเองได้ ส่วนจักรแก้วนั้นกลายเป็นส่วนหัวของวานร ด้วยอำนาจแห่งกำลังของพระอิศวร และอาวุธทั้งสามนั้นก็รวมกลายเป็นพญาวานร ในครรภ์ของนางสวาหะ
ครั้นนางสวาหะมีครรภ์มาได้สิบเดือนแล้ว แต่พญาวานะน้อยกลับยังไม่คลอด ยังคงอยู่ในครรภ์ของนางต่อไปจนครบสามสิบเดือน จึงได้ฤกษ์คลอด ออกมาสู่โลก ซึ่งตรงกับวันอังคาร ปีขาล เดือนสาม เวลาพลบค่ำพระอาทิตย์อัสดงสีแดง พญาวานรก็คลอดจากครรภ์โดยเหาะออกมาจากปากนางสวาหะ ขึ้นสู่เวหา สำแดงฤทธาโดยการแปลงกาย มีสี่หน้าแปดมือรูปร่างสูงใหญ่ กายขาวผ่องรัศมีโชติช่วง อ้าปากหาวออกมาเป็นดวงดาวและดวงเดือน (หนุมาน ผู้ได้ชื่อว่า หาวเป็นดาวเป็นเดือน) มีเขี้ยวแก้ว ขนเพชร กุณฑล (ต่างหู) ลอยอยู่ตรงหน้าพระมารดา แสดงฤทธาอยู่บนฟ้าเสร็จแล้วจึงลงมากราบมารดานางสวาหะและ พระพายผู้ที่หมายว่าเป็นบิดา พระพายจึงให้พรพร้อมตั้งชื่อให้ว่า “หนุมาน”
นางสวาหะเมื่อคลอดลูกออกมาเป็นลิงก็พ้นจากคำสาปของแม่ แล้วจึงเอาอุ้มลูกน้อยมาแนบอกให้กินนม แล้วร้องคร่ำครวญว่า น่าอนาถนักลูกเกิดมาแม่กลับไม่มีอะไรจะให้ ไร้ญาติขาดมิตร แม่มิอาจเลี้ยงดูได้ จำต้องฝากลูกไว้กับพระพายผู้เป็นบิดา แล้วจึงสั่งเสียว่า ถ้าในภายภาคหน้า ผู้ใดที่เจอเจ้าแล้วกล่าวทักถึง เขี้ยวแก้ว กุณฑล (ต่างหู) ขนเพชร ที่มีอยู่ในกายหนุมาน ผู้นั้นคือนารายณ์อวตาร จงถวายตัวเป็นข้าบาทรับใช้ เมื่อได้รับพรจากบิดา จดจำคำสั่งเสียของแม่แล้ว หนุมานก็เหาะออกไปท่องเที่ยว
เมื่อเหาะมาถึงสวนของพระอุมาเทวี (ชายาพระอิศวร) เห็นผลหมากรากไม้มากมาย ก็ดีใจตามประสาพญาลิง รีบเหาะเข้าไปหักเก็บกินอย่างสุขใจ ฝ่ายพระอุมาประทับอยู่ท่ามกลางนางสนมสาวสวรรค์เห็นวานรน้อยเข้าหักเก็บผลไม้ทำลายอุทยานสวรรค์ก็ไม่พอใจ โกรธจึงด่าว่าสาปแช่งออกไป
“เจ้ามันแค่เดียรัจฉาน ตัวน้อยอวดหาญไม่เกรงกลัวใคร แม่แต่ข้าผู้เป็นชายาพระอิศวร กูขอสาปให้เมืองมีฤทธิ์เหลือน้อยถอยลงกึ่งหนึ่ง ให้สมกับเที่ยวอวดอ้างฤทธากล้าหาญ มิได้เกรงกลัวผู้ใด เดรัจฉานเอ๋ย”
เมื่อหนุมานได้ยินเสียงตวาดดังมาก็ตกใจ จึงตอบไปว่า
“ตัวข้านั้นเขลา นัก หาทราบไม่ว่านี่เป็นสวนของชายาผู้เจ้าโลกา คิดว่าเป็นป่าจึงเข้าเก็บกินผลไม้เอาตามแต่ใจ โทษจากความประมาทครานี้ถึงตาย ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอได้โปรดเมตตา”
พระอุมาเทวีมีจิตสงสารจึงตอบกลับไป
“อันวาจาของข้านั้นเป็นประกาศิต ดุจเหล็กเพชรสลักหินผา จะให้คืนวาจาคงไม่ได้ แต่จะให้พรเพื่อผ่อนปรน เมื่อใดที่พระนารายณ์เสด็จจากเกษียรสมุทรอวตารไปเป็นพระราม ได้ลูบหัวเจ้าไปตลอดถึงปลายหาง พละกำลังฤทธาจักกลับมาดังเดิม”
แล้วหนุมานก็เหาะกลับไปใช้ชีวิตในถ้ำที่ป่าหิมพานต์ ฝ่ายพระพายผู้บิดา คิดถึงลูกก็เหาะไปหิมพานต์ และพาหนุมาน ไปเข้าเฝ้าพระอิศวร ที่เขาไกรลาส เมื่อพระอิศวร เห็นท่าทางกล้าหาญคล่องแคล่วของหนุมาน จึงตรัสออกไปว่าลิงเผือกน้อยนี้ เหมาะสมแก่การเป็นขุนศึกคู่ใจพระนารายณ์อวตาร แล้วทำการสอนเวทย์มนต์คาถาต่างให้ ให้แก่หนุมาน ทั้งแปลงกาย หายตัว อยู่ยงคงกระพัน จนครบถ้วนกระบวนความ แล้วจึงมอบพรศักดิ์สิทธิ์ว่า “จงมีอายุยืนยาวตราบกัลปาวสาน แม้นตายหากลมพัดต้องกายก็จักฟื้นคืน” จากนั้นหนุมานก็คอยเฝ้ารับใช้ติดตามแทบเบื้องบาทพระอิศวรเรื่อยมา
พระอิศวรได้ใช้เหงื่อไคลมาปั้นและเสก ให้เป็นพญาลิงอีกตัวให้เป็นเพื่อนหนุมานชื่อ “ชมพูพาน” มีความสามารถเรื่องการปรุงยาเป็นอย่างดี เมื่อหนุมาน ร่ำเรียนวิชาจากพระอิศวรจนเก่งกาจแล้ว พระอิศวรจึงเรียกให้กากาศ (พาลี)และสุครีพ ซึ่งเป็นน้องต่างพ่อของนางสวาหะให้มารู้จักกับหนุมานผู้เป็นหลาน เนื่องจากกากาศและสุครีพครองเมืองขีดขินยังไม่มีลูก พระอิศวรจึงยกให้ชมพูพานเป็นลูกบุญธรรม พร้อมกับสั่งไว้ว่าให้ชมพูพาน ว่าในเบื้องหน้าให้เป็นผู้คอยช่วยเหลือกองทัพพระราม ที่เป็นพระนารายณ์อวตาล ในเรื่องของการปรุงยาต่างๆ ในคราวเพลี่ยงพล้ำกับฝ่ายยักษ์และได้รับบาดเจ็บ แล้วสี่วานรก็กลับไปพำนักอยู่ที่เมืองขีดขินเพื่อรอการใหญ่ต่อไป
ในขณะนั้น “ท้าวมหาชมพู” พญาวานร(ไม่ใช่ชมพูพาน) ผู้ครองนครชมพู มีมเหสีชื่อนาง “แก้วอุดร” อยู่กินด้วยกันมานานปี ก็ยังไม่มีวลูกสืบสกุลวงศ์ พระอิศวรจึงประทานวานรชื่อ “นิลพัท” ทีผิวกายสีดำดั่งสีนิล ซึ่งเป็นลูกของพระกาฬมาเป็นหลานให้เลี้ยงดู เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งหลายหลัง “นิลพัท” พญาวานรนี้จะเป็นอริกับ “หนุมาน”
ท้าวมหาชมพูเป็นราชาพญาลิงผู้มีกำลังฤทธิมาก และไม่เคยก้มหัวให้กับผู้ใดทั่วทั้งสิบทิศ ที่จะยกมือบังคมไหว้ก็มีแต่เพียงพระอิศวร าและพระนารายณ์เพียงเท่านั้น ซึ่งมีความสนิทสนมกับพญากากาศ (พาลี) เจ้าเมืองขีดขิน รักใคร่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ และจะเป็นแรงสนับสนุนกองทัพพระรามในภายภาคหน้า