กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ! ร.๕ พระราชทานพระแก้วมรกตให้มกุฎราชกุมารรัสเซีย!!
ในปี ๒๔๓๔ หลังจากที่เจ้าชายนิโคลัสได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารของรัสเซียได้ไม่นาน ก็ทรงได้รับบัญชาจากพระราชบิดา คือพระเจ้าซาร์อเล็คซานเดอร์ที่ ๓ ให้เป็นผู้แทนพระองค์เดินทางไกลทางเรือจากทะเลตะวันตกไปทะเลตะวันออก เพื่อวางศิลาฤกษ์การสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งจะเป็นทางรถไฟสายยาวที่สุดในโลก พร้อมกันก็ให้ถือโอกาสนี้ท่องเที่ยวดูการเมืองการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศในย่านเอเชีย โดยมีเจ้าชายยอร์ช แห่งกรีก ซึ่งเป็นพระประยูรญาติอีกองค์หนึ่งสมทบร่วมมาด้วย ทรงเริ่มเสด็จอียิปต์เป็นประเทศแรก ผ่านคลองสุเอซมุ่งสู่อินเดีย ศรีลังกา สิงคโปร์ เวียดนาม จีน สู่ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ใกล้ชายฝั่งของเมืองวลาดิวอสต๊อกเป็นประเทศสุดท้าย
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทยที่ไม่ใช่ทางผ่าน แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความสนพระทัยเป็นอย่างมาก หากเปิดสัมพันธไมตรีกับรัสเซียได้ก็จะทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังคุกคามไทยอย่างหนักเกรงใจได้ จึงทรงรับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ มีโทรเลขถึงอุปทูตสยามที่กรุงเบอร์ลิน ให้ดำเนินการผ่านทูตรัสเซียที่เยอรมัน เชิญมกุฎราชกุมารเสด็จเยือนสยามด้วย
แต่ในขณะติดต่ออยู่นั้น รัฐบาลอังกฤษที่อินเดียรู้เรื่องก็เล่นแผนสกปรก กุข่าวส่งไปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าอหิวาตโรคกำลังระบาดหนักในประเทศไทย ราชสำนักรัสเซียทราบเรื่องเห็นว่าไม่ปลอดภัยสำหรับองค์มกุฎราชกุมารที่จะเสด็จไปในระยะเวลานี้ จึงปฏิเสธที่จะให้มกุฎราชกุมารแวะไปสยาม ออกจากสิงคโปร์ก็ให้ตรงไปไซ่ง่อนและจีน ตามหมายกำหนดการเดิม
แต่พระพุทธเจ้าหลวงไม่ทรงละความพยายาม ส่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เสด็จโดยเรือมกุฎราชกุมารนำพระราชสาส์นส่วนพระองค์ออกไปเฝ้ามกุฎราชกุมารรัสเซียที่สิงคโปร์ และอธิบายความจริงให้ทรงทราบเพื่อสยบข่าวปลอม
ฉะนั้นหลายประเทศจึงตะลึงไปตามกันรวมทั้งราชสำนักรัสเซีย เมื่อเรือพระที่นั่งปัมยัตอาโซวะ พร้อมด้วยเรือคุ้มกันอีก ๒ ลำของรัสเซียออกจากสิงคโปร์ ก็บ่ายหน้ามุ่งสู่ปากน้ำเจ้าพระยาด้วยการตัดสินพระทัยของมกุฎราชกุมารหนุ่ม โดยมีเรือมกุฎราชกุมารของไทยนำ
การต้อนรับมกุฎราชกุมารรัสเซียครั้งนี้ ยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าการต้อนรับระดับประมุขของประเทศ เมื่อเรือพระที่นั่งผ่านสันดอนเข้ามาก็มีเรือของประชาชนลอยลำต้อนรับเสด็จ เมื่อเข้าเทียบท่าราชวรดิฐที่ตกแต่งอย่างสวยงามพร้อมป้ายต้อนรับเป็นภาษารัสเซียแล้ว กองเกียรติยศสยามได้บรรเลงเพลงชาติรัสเซียรับเสด็จ มีขบวนนำเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังสราญรมย์ ซึ่งม่านหน้าต่างร้อยด้วยดอกมะลิสด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงนำมกุฎราชกุมารไปประทับแรมที่พระราชวังบางปะอิน และจัดรายการพิเศษด้วยการคล้องช้างป่าที่เพนียดกรุงศรีอยุธยาถวายให้ทอดพระเนตร ซึ่งเป็นรายการโชว์ที่ยิ่งใหญ่ต้อนรับแขกเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นครั้งสุดท้าย
การต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นเวลาถึง ๕ วันจากวันที่ ๒๐-๒๔ มีนาคม ๒๔๓๔ ทำให้ทั้ง ๒ พระองค์มีความรู้สึกที่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯรับสั่งกับพระสหายผู้อ่อนวัยกว่า ๑๕ ปีว่า สยามกับรัสเซียนั้นแม้จะอยู่ไกลกัน แต่พระราชวงศ์ก็มีพระราชไมตรีด้วยดีกันมาตลอด เสมือนเป็นแผ่นดินเดียวกันก็ว่าได้ ในการที่มกุฎราชกุมารเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ หากมีพระประสงค์จำนงสิ่งใดในราชอาณาจักรสยาม ก็จะทรงจัดหาให้ไม่ขัดข้อง
มกุฎราชกุมารหนุ่มในวัย ๒๓ พรรษาจึงได้โอกาสลองพระทัยพระสหายด้วยการขอพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่ประเทศรัสเซีย
เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงทรงสดับสิ่งที่ถูกขอ ก็ทรงนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ทรงตระหนักถึงพระเกียรติยศแห่งกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ จึงทรงมีพระราชดำรัสตอบว่าทรงยอมพระราชทานให้ตามคำขอ
เมื่อได้ยินคำตอบ มกุฎราชกุมารหนุ่มก็ตกพระทัยอย่างคาดไม่ถึง เพราะทรงทราบดีว่าพระแก้วมรกตนั้นเป็นที่เคารพสักการะและยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงอาณาประชาราษฎร์ จึงได้แต่มีพระดำรัสขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง และขอให้ฝ่ายสยามขอสิ่งใดเป็นการตอบแทนบ้าง
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงมีพระราชดำรัสตอบในทันทีว่า “ขอพระแก้วมรกตกลับคืนสู่ราชอาณาจักรสยาม”
คำตอบนี้ทำให้บรรยากาศของการลองพระทัยที่เคร่งเครียดสลายไปทันที กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้ง ๒ พระองค์ที่แสดงความจริงใจต่อกัน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปในปี ๒๔๔๐ ขณะที่ทรงถูกอังกฤษและฝรั่งเศสบีบคั้นถึงขั้นจะแบ่งประเทศกัน จึงทรงไปปรับทุกข์กับสหายเก่าที่ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ ๒ แล้ว เป็นเหตุที่ทั้ง ๒ พระองค์ทรงฉายพระรูปคู่กันให้ราชสำนักรัสเซียได้ส่งไปลงในหนังสือพิมพ์ของยุโรปทุกฉบับ ซึ่งเสมือนเป็นเสียงคำรามของ “หมีขาวรัสเซีย” ทำให้นักล่าอาณานิคมสยองไปพอสมควร ถือได้ว่าเป็นภาพที่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องบันทึกไว้ว่า ประวัติพระแก้วมรกตหลังจากเจดีย์ที่เชียงรายถูกฟ้าผ่าแล้ว ได้เดินทางไปประดิษฐานที่ลำปาง หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี จนมาประดิษฐานที่กรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงไม่กีนาทีก็เคยตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัสเซียมาแล้ว
Source: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000033978
The post กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ! ร.๕ พระราชทานพระแก้วมรกตให้มกุฎราชกุมารรัสเซีย!! appeared first on Thailand News.