
“ภาพถ่ายเก่า” ขณะทำการขุดค้น วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย
เพจ: อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเก่าการขุดค้น วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย และให้ข้อมูลของภาพชุดนี้ว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖ รัฐบาลในขณะนั้น (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะเมืองสุโขทัยขึ้น โดยเริ่มมีการขุดแต่งที่วัดมหาธาตุเป็นแห่งแรก และตามด้วยโบราณสถานที่สำคัญอื่นๆ ทั้งภายในกำแพงเมือง และภายนอกกำแพงเมือง
วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ตามแบบแผนความเชื่อในเรื่องจักรวาลแบบอินเดียโบราณ เป็นวัดที่มีความสำคัญประกอบด้วยเจดีย์ประธาน วิหาร มณฑป โบสถ์ และเจดีย์รายจำนวนมาก ถึง ๒๐๐ องค์
เจดีย์ประธานของวัด ซึ่งตั้งเด่นสง่างามมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูมถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยโดยแท้ แต่คงมิได้เป็นรูปแบบแรกเริ่มเมื่อมีการสร้างวัดมหาธาตุขึ้น ของเดิมน่าจะมีลักษณะเช่นเดียวกับเจดีย์ทิศที่ตั้งอยู่ตรงกลางของด้านทั้งสี่บนฐานเดียวกัน
รายรอบเจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทิศ จำนวน ๘ องค์ องค์ที่อยู่ตรงมุมทั้งสี่เป็นเจดีย์ที่มีอิทธิพลของศิลปะหริภุญไชยล้านนา ส่วนเจดีย์ที่อยู่กึ่งกลางของด้านทั้งสี่เป็นเจดีย์ทรงปราสาทแบบสุโขทัยซึ่งมีลวดลายปูนปั้นแบบอิทธิพลศิลปะลังกา รอบๆ เจดีย์ประธานมีปูนปั้นรูปพระสาวกในท่าอัญชุลีเดินประทักษิณโดยรอบพระมหาธาตุ
ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้บรรยายว่า กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารศ มีพระพุทธอันใหญ่ มีพระพุทธอันราม พระพุทธรูปทองเข้าใจโดยทั่วไปว่าหมายถึงหลวงพ่อโตของชาวเมืองเก่า เมื่อต้นรัตนโกสินทร์ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงในวัดมหาธาตุ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญโดยล่องแพไปไว้ที่ วิหารหลวงวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชทานนามว่า พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปนี้น่าจะเป็นพระพุทธรูปสำริดที่พระมหาธรรมราชาลิไททรงโปรดให้หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๕ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อันเป็นแบบที่นิยมมากในสมัยสุโขทัย ที่วิหารหลวงในวัดมหาธาตุสุโขทัยจึงยังปรากฏแท่นฐานขนาดใหญ่ของพระพุทธรูปองค์นี้เหลือให้เห็น
ส่วนพระอัฎฐารศ ที่กล่าวถึงในจารึกหมายถึงพระพุทธรูปยืน ที่มีขนาดใหญ่สูงราว ๑๘ ศอก ประดิษฐานภายในมณฑปที่ขนาบอยู่สองข้างของเจดีย์ประธาน
ถัดจากวิหารหลวงไปทางตะวันออกเป็นวิหารสูง ที่เรียกชื่อเช่นนี้ เนื่องจากวิหารหลังนี้มีฐานก่ออิฐเป็นลักษณะฐานบัว มีความสูงประมาณ ๑.๕ เมตร เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในภายหลัง ทำให้พื้นที่ว่างระหว่างหน้าวิหารสูงกับกำแพงแก้วด้านหน้าเหลือเพียงพื้นที่แคบๆ ไม่ได้สัดส่วนกับความสูงของตัวอาคาร
นอกจากนี้ภายในวัดมหาธาตุยังมีกลุ่มเจดีย์ จัดแยกออกเป็นกลุ่มหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเจดีย์ประธาน มีศูนย์กลางอยู่ที่เจดีย์ ๕ ยอด ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นที่ ๒ รองจากเจดีย์ประธาน ได้พบหลักฐานที่เป็นจารึกลานทองมีข้อความระบุเป็นที่น่าเชื่อว่าเจดีย์ ๕ ยอดองค์นี้เป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของพระมหาธรรมราชาลิไท
ปล.โบราณวัตถุต่างๆ ที่ได้จากขุดค้นปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
[ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเพจ: อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย]
Source: https://www.silpa-mag.com/old-photos-tell-the-historical-story/article_15707
The post “ภาพถ่ายเก่า” ขณะทำการขุดค้น วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย appeared first on Thailand News.
More Stories
คนไทยเห็น “จิงโจ้” ครั้งแรกเมื่อใด? ทำไม “แกงการู” ในไทยถึงเรียกว่า “จิงโจ้”?
ภาพจิงโจ้เกาะหัวเรือสำเภาจิตรกรรมลายรดน้ำในวัดโพธิ์ ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2525 ผู้เขียน เอนก นาวิกมูล เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 แกงการู ถูกบัญญัติว่าคือจิงโจ้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 หลักฐานเก่าสุดเท่าที่ค้นได้ส่อให้เห็นว่า ตัวแกงการู ในภาษาอังกฤษ...
ข้าวมาบุญครอง ยี่ห้อข้าวสารบรรจุถุงรายแรกที่จำหน่ายในประเทศไทย
ข้าวสารบรรจุถุงในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2551 (AFP PHOTO/Pornchai KITTIWONGSAKUL) ก่อนปี 2527 การซื้อข้าวสารมาบริโภคโดยทั่วไปไม่ได้ซื้อกันเป็นถุงอย่างทุกวันนี้ ครอบครัวใหญ่ หรือร้านอาหารจะซื้อข้าวครั้งละกระสอบ หรือครึ่งกระสอบ (ข้าวสาร 1 กระสอบ หนัก 100 กิโลกรัม) ครอบครัวเล็กซื้อทีละถัง...
ก่อนมีน้ำแข็งในสยาม คนโบราณทำน้ำให้เย็นอย่างไร?
ล้อมวงดื่มเหล้า จิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่น้ำแข็งจะเข้ามาสู่สยาม การทำให้น้ำเย็นนั้นไม่ได้ใช้วิธีซับซ้อนอะไร ชาวต่างชาติมีชื่อว่า เฟรดเดอริก อาร์เธอร์ นีล ที่เดินทางเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3 บันทึกถึงการทำน้ำให้เย็น โดยเฉพาะจำพวกน้ำเมาอย่างแชมเปญ เขาบันทึกถึงเรื่องนี้ ขณะที่ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ วิธีทำให้น้ำเย็นนี้ ใช้วิธีเดียวกับที่ทำในอินเดีย...
ไกลบ้าน “ฉบับราษฎร์” เขียนดีจนได้คำนิยมจากรัชกาลที่ 5
พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาธส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ. 2450 บนเรือพระที่นั่งมหาจักรี เมื่อพูดถึง “ไกลบ้าน” มักถึงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หากยังมีหนังสืออีกเล่มที่ชื่อ “ไกลบ้าน” เหมือนกัน เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสด็จประพาสยุโรปของพระพุทธเจ้าหลวงเช่นกัน แต่ผู้เขียนเป็นมหาดเล็กคนหนึ่งที่มีโอกาสเสด็จฯ ในครั้งนั้น นอกจาก “คนเขียน” แล้ว...
วัดร้างบางบอน? (วิหารหลวงพ่อขาว) วัดนิรนามอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนหลงลืมไปตามเวลา
ภายในวิหารหลวงพ่อขาว ได้รับการปรับปรุงจนสะอาดหมดจด มีหลังคาโค้งกันแดดฝนแก่องค์พระพุทธรูปและผู้มากราบไหว้บูชา ด้านหลังเคยมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ด้วยแต่หักโค่นไปแล้ว ที่มา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2556 ผู้เขียน ดร. ประภัสสร์ ชูวิเชียร ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 ในพื้นที่ที่เรียกกันว่า “บางขุนเทียน” ในปัจจุบัน...
พระพุทธสำคัญของล้านช้าง? ที่สยามเชิญมาประดิษฐานในประเทศ
(จากซ้าย) พระแซกคำ, พระแสน (เมืองมหาชัย), พระฉันสมอ พระพุทธรูปสำคัญในไทย จำนวนหนึ่งเชิญมาแต่เขตล้านช้างคือเมืองเวียงจันท์ และเมืองอื่นทางตะวันออกหลายองค์ เป็นพระพุทธรูปสร้างที่อื่น ตกไปอยู่ในอาณาเขตล้านช้าง โดยประวัติบ้าง สร้างขึ้นในเขตล้านช้าง แต่เมื่อยังเป็นประเทศศรีสัตนาคนหุตบ้าง พระพุทธรูปที่สร้างทางเขตล้านช้างมักเรียกกันว่าฝีมือช่างลาวพุงขาว นอกจาก พระแก้วมรกต (เดิมประดิษฐานอยู่ล้านนา ต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาเชิญไปล้านช้าง) และพระบาง (ภายหลังเชิญกลับล้านช้าง) ที่เชิญมาสยามในสมัยกรุงธนบุรีแล้ว ช่วงรัชกาลที่...
ทางรถไฟสยาม สมัยรัชกาลที่ 5 ถึง รัชกาลที่ 7 สู่ยุคความเร็วและย่นเวลาเดินทาง
ชานชาลารถไฟ สถานีกรุงเทพฯ เมื่อก่อสร้างครั้งแรก (ภาพจาก หนังสือการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๓๙-๒๕๑๒) นับตั้งแต่มีการนำเครื่องจักรไอน้ำมาติดตั้งในพาหนะ การขนส่งในศตวรรษที่ 19 ก็เข้าสู่ยุคสมัยของการปฏิวัติ พาหนะแรกที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรไอน้ำอย่าง “เรือกลไฟ” ได้ท่องไปทั่วมหาสมุทร และเข้าไปมีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศตามการใช้งานของชาติมหาอำนาจ สำหรับประเทศสยาม เรือกลไฟลำแรกที่แล่นเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 จากความสนใจในหมู่ชนชั้นนำทำให้เกิดการวิจัยและพัฒนาในช่วงสั้นๆ...
นานาทัศนะตำนานรัก “มะเมียะ” กับ “เจ้าน้อยศุขเกษม” สังคมไทยคิดเห็นอย่างไร?
เจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม ณ เชียงใหม่) หรือเจ้าน้อยศุขเกษม ถ่ายภาพกับเจ้าบัวชุม ณ เชียงใหม่ ผู้เป็นภรรยา (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ตำนานความรักคลาสิกในสังคมไทยเรื่องหนึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่อง “มะเมียะ” ที่ผู้เขียนอย่างคุณปราณี ศิริธร ณ พัทลุง เผยแพร่ลงในหนังสือ “เพ็ชรล้านนา” และ “ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่” กระทั่งดังเป็นพลุแตกเมื่อจรัล มโนเพ็ชร นำมาแต่งเป็นเพลงจนตำนานรักเรื่องนี้เป็นที่จดจำของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ คุณธเนศวร์ เจริญเมือง...
รัชกาลที่ 4 ทรง “เอาใจใส่” ธรรมยุตนิกาย จนเกิดพระราชนิยมใหม่? ในหมู่เจ้านาย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างการผนวช 27 พรรษา รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนา “ธรรมยุตินิกาย” เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติธรรมยุตินิกายก็เฟื่องฟู และเป็นที่ศรัทธาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์ รัชกาลที่ 4 ทรงกําหนดให้เจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงผนวชเฉพาะธรรมยุติกนิกาย และทรงกําหนดความแตกต่างของ ตำแหน่ง “สมเด็จพระสังฆราช” ที่มาจากสามัญชนและเจ้านาย...
สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ “เจ้าฟ้าปัญญาดี” ความหวังของรัชกาลที่ 5
สมเด็จ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ “เจ้าฟ้าปัญญาดี” ความหวังของรัชกาลที่ 5 “…ความหวังใจอยู่ในลูก ว่าจะมาช่วยแบกหามความลำบากของพ่อ เมื่อเวลาแก่และโทรมลงพอให้เปนที่เบาใจบ้าง เปนความจริงพ่อรู้สึกความชรามาถึงบ้างแล้ว จึงทำให้มีความวิตกวิจารณ์ในการภายน่ามาก…” เป็นข้อความหนึ่งในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โปรดพระราชทาน จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสขณะกำลังทรงศึกษาวิชาการทหารอยู่ในประเทศเยอรมนี ข้อความตอนนี้แสดงถึงความหวังของพระองค์ที่ทรงมีต่อพระราชโอรสพระองค์นี้ในการที่จะทรงสำเร็จการศึกษาเสด็จกลับมาช่วยแบ่งเบาพระราชภาระ และความหวังของพระองค์ก็ทรงได้รับการตอบสนองจากพระราชโอรสพระองค์นี้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเรื่องราชการบ้านเมือง หรือเรื่องส่วนพระองค์...
ค้นร่องรอยญาติอินจัน ปรากฏชายชื่อ “นายชู/ลุงบัด” ในสมุดภาพของทายาทแฝดสยาม
(ซ้าย) ภาพถ่าย อิน-จัน (ขวา) ภาพที่พบในสมุดภาพของลูกสาวคนหนึ่งของอิน-จัน ไม่มีคำบรรยายกำกับข้างหลังภาพ ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม, ฉบับกันยายน 2548 ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2548 ผู้เขียน วิลาส นิรันดร์สุขศิริ เผยแพร่ วันพุธที่ 15...
การรับมือโรคระบาดสมัย ร.5 รัฐยุคใหม่เลิกไล่ผี-พิธีสวด เปลี่ยนมาใช้การแพทย์ตะวันตก
ผู้เขียน อ.ดร. ชาติชาย มุกสง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2564 เมื่อรัชกาลที่ 5 ไม่ทรงเชื่อว่าพิธีอาพาธพินาศมาจากพระพุทธเจ้า แล้วเลิกไล่ผีเปลี่ยนมาจัดการด้วยการแพทย์ตะวันตกในอรุณรุ่งของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การแก้ไขจัดการโรคระบาดที่มนุษย์เผชิญในทุกสังคมนั้นต่างมีความเปลี่ยนแปลงมาตามรูปแบบของรัฐและบทบาทหน้าที่ของรัฐ ดังนั้น ก่อนหน้ารัฐสมัยใหม่แม้รัฐจะไม่ได้มีหน้าที่ป้องกัน ควบคุม และรักษาเยียวยาความเจ็บป่วยคนในสังคมภาวะปกติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของครอบครัวชุมชนเป็นหลัก แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติอย่างเกิดโรคระบาดรุนแรง รัฐมีหน้าที่สำคัญในการจัดการผู้คนจากโรคระบาดกันทั้งสิ้น สมัยโบราณโรคระบาดรวดเร็วรุนแรงที่ส่งผลให้คนตายมาก ๆ คนไทยเรียกว่า โรคห่า แต่เดิมหมายถึง 3 โรคคือ ทรพิษเก่าแก่สุด ต่อมาใช้เรียกอหิวาตกโรคและกาฬโรคที่ระบาดหนักหน่วงช่วงเปลี่ยนผ่านสยามเป็นรัฐสมัยใหม่ตรงกับยุคสมัยอาณานิคม...