ติดตามผ่านช่อง : Siammongkol Youtube Channel

สงครามในอดีตจากมุมมองคนไทย ระเบิดปรมาณูมีพิษสงเท่าอาทิตย์ 7 ดวงขึ้นพร้อมกัน

สงครามในอดีตจากมุมมองคนไทย ระเบิดปรมาณูมีพิษสงเท่าอาทิตย์ 7 ดวงขึ้นพร้อมกัน

สงครามโลก 2 ครั้งที่เกิดขึ้นมีเอกสารวิชาการ และบทความกึ่งวิชาการ บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการเมือง, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, เทคโนโลยีทางการทหาร ฯลฯ

หาก “หลวงเมือง” (2471-2563) นักเขียนอาวุโส กลับเลือกเสนอมุมของประชาชนทั่วไป ที่ไม่ได้รู้เรื่องของสงครามโลกมากนัก ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง ฯลฯ ไว้ในบความชื่อ “สงคราม” (นิตยสารศิลปวัฒนธรรม, กุมภาพันธ์ 2560) เนื้อหาบางส่วนมีดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม)

คนที่อยู่อเมริกาย่อมไม่รู้ว่าวัดใหม่ยายนุ้ยคืออะไร แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ทิ้งระเบิดลงที่นั่น คือกลางวัดขุนจันทน์ และนักบินฝรั่ง 3 คน ที่ขับเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดแล้วถูกยิงตกที่บางสะแก พวกพ้องพี่น้องของเขาคงพิศวงว่าบางสะแกคืออะไร

หลังมหายุทธสงครามครั้งที่ 1 อานุภาพของอาวุธที่ทำให้ชาวโลกอกสั่นขวัญแขวน คือไอพิษ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามปล่อยให้เป็นควันลอยมาถูกใครเข้าคนนั้นก็ตาย คือคลอรีนแก๊สอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายผิวหนังให้เน่าเฟะ แล้วตายด้วยความทรมาน ข้าพเจ้าจำได้ว่าก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลประกาศให้ประชาชนจัดหาหน้ากากป้องกันไอพิษไว้ให้ตนเอง เวลานั้นข้าพเจ้ากำลังเป็นยุวชนทหาร ครูฝึกได้นำหน้ากากของเยอรมนีชื่อ “แดร์แกร์” มาฝึกหัดสวมใส่ให้ชำนาญ

ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 อันโหดร้ายทารุณนั้น จะสิ้นสุดยุติลงเพราะระเบิดปรมาณู 2 ลูก ที่ฝรั่งทิ้งลงไปในเมืองญี่ปุ่น ถึงขนาดที่แม้ว่าจะมีการใช้ระเบิดปรมาณูแล้วตั้งหลายวัน ชาวโลกก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่มีผู้เชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะระเบิดปรมาณู 2 ลูกนั้น ญี่ปุ่นคงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผู้คนจะล้มตายกันอีกเป็นแสนๆ แต่การที่ญี่ปุ่นที่รบอยู่ทุกสมรภูมิยอมยุติการสู้รบ เพราะโองการของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโต ด้วยเหตุผลที่ทรงยกมาอ้างดีที่สุดในโลกคือ ข้าศึกใช้อาวุธที่เราไม่รู้จัก

เปรียบเหมือนกับว่านักมวยต่อยกันตามกติกาของกรมพลศึกษา แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลากไม้หน้าสามขึ้นมาบนเวที การต่อสู้ก็ต้องล้มเลิกไปในทันที

อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะที่โลกนี้ยังไม่มีคำว่าปรมาณู หรือเกิดการสงครามขนาดใหญ่ในหมู่มนุษย์ โลกนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนล้มตายได้ทั้งเมือง แบบภูเขาไฟที่เมืองปอมเปอีระเบิด และคราวที่แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น เรื่องนี้จะเป็นการชี้ให้เห็นได้หรือไม่ว่า โลกนี้มีวิธีจำกัดหรือควบคุมจำนวนประชากรให้อยู่ในปริมาณใดปริมาณหนึ่งเสมอ ถ้าเกินไปจากนั้นก็มีภัยธรรมชาติมาล้างผลาญ หรือเกิดสงครามโลกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งสร้างความพินาศให้แก่มนุษยชาติพอๆ กัน

เมื่อตอนต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีบุกประเทศฝรั่งเศส หนังสือพิมพ์ในเมืองไทยลงข่าวนี้ มีภาพคนชราฝรั่งคู่หนึ่งจูงรถจักรยานสองล้อ มีสัมภาระอยู่ที่ตะแกรงท้าย มีคุณยายของแกยืนอยู่ข้างๆ ด้วย มีคำบรรยายใต้ภาพว่า “เราเคยอพยพแบบนี้แล้วเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง” คิดว่าตามความเข้าใจของคุณตาคุณยายคู่นี้ ว่าสงครามมาเร็วเกินไป อพยพยังไม่ทันหายเหนื่อยก็เกิดสงคราม

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เมื่อกองทัพนาซีบุกมาใกล้จะถึงปารีส รัฐบาลฝรั่งเศสก็ประกาศเป็นเมืองเปิด หมายถึงไม่มีการต่อสู้ใดๆ ในที่นั้น เพื่อรักษาความเป็นกรุงปารีสให้คงอยู่ต่อไป สมัยนั้นเครื่องมือในการโฆษณามีแต่วิทยุกระจายเสียง ประเทศที่ไม่ถูกกันก็ด่าทอกันเป็นการเอิกเกริก เช่น วิทยุแห่งกรมโฆษณาการของไทยก็เล่นงานฝรั่งเศสในประเทศอินโดจีน เวลาที่ถึงรายการประเภทนี้ ประชาชนจะไปยืนฟังเป็นกลุ่มๆ และมีเสียงหัวเราะเฮฮาเมื่อมีคารมที่ถูกใจ…

ก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างไทยกับรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศส ทางการได้จัดให้มีการซ้อมป้องกันภัยทางอากาศถึง 2 ครั้ง ความมุ่งหมายสำคัญ คือ ต้องการให้ประชาชนรู้จักวิธีการพรางไฟ การซ้อมป้องกันภัยทางอากาศนี้มีชื่อว่า “ซ.ป.อ.” มีสัญญาณแจ้งภัยทางอากาศเป็นเสียงไซเรนจากวิทยุกระจายเสียง และประกาศให้ทราบว่าลูกระเบิดของข้าศึกมี 3 ชนิด คือ พลุสีแดงเป็นระเบิดเพลิง พลุสีเหลืองเป็นระเบิดทำลาย และพลุสีเขียวเป็นระเบิดไอพิษ

ข้าพเจ้าเคยเห็นการซ้อมป้องกันภัยเช่นนี้ด้วยตาของตนเอง ได้รับความตื่นเต้นระทึกใจยิ่งกว่าดูภาพยนตร์สงคราม ต่อมาอีกราวๆ 1 ปี มีการซ้อม “ซ.ป.อ.” อีก แต่คราวนี้ไม่มีการสมมุติเครื่องบินเข้าทิ้งระเบิด ข้าพเจ้าเรียนถามผู้ใหญ่แล้วท่านตอบว่า เพราะเกรงว่าข้าศึกจะส่งเครื่องบินมาสวมรอย ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นมีลูกอุกกาบาตขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ลุกเป็นไฟทั้งก้อน วิ่งผ่านจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ถนนหนทางสว่างจ้าเหมือนคนหิ้วตะเกียงเจ้าพายุเดินผ่าน

รุ่งขึ้นเช้าหนังสือพิมพ์ลงข่าวกันเอิกเกริก และลือกันว่าเป็นตอร์ปิโดอากาศของชาติมหาอำนาจ และโดยการไม่มีการเปิดเผยใดๆ ริมฝั่งทะเลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จนถึงจังหวัดปัตตานี ยกเว้นจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีหน่วยทหารกองทัพบกไปตั้งอยู่ แสดงว่าเสนาธิการทหารของเราแม่นยำในการกำหนดจุดยุทธศาสตร์ เพราะเมื่อข้าศึกยกพลขึ้นบกทางปักษ์ใต้นั้น ตรงกับที่ตั้งกองทหารไทยทุกแห่ง และเกิดการต่อสู้อย่างฉกาจฉกรรจ์ เช่น ที่กองบินประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดนครศรีธรรมราช

เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศคู่สงครามมักจะมีวีรบุรุษเกิดขึ้น เช่น ประเทศอังกฤษก็มีเชอร์ชิล ประเทศเยอรมนีมีฮิตเลอร์ ทั้งเชอร์ชิลและฮิตเลอร์ต่างมีพวกพ้องฝ่ายละมากๆ นายทหารที่เป็นฝ่ายอัจฉริยบุคคลของเยอรมนี เช่น จอมพล รอมเมล และแม่ทัพเรือของเยอรมนีไม่ได้เป็นพลพรรคนาซี และ นายพลเรือ ยามาโมโต ของญี่ปุ่นก็ไม่ได้เห็นด้วยกับ นายพล โตโจ แต่พวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของฮิตเลอร์และโตโจ เมื่อ นายพลเรือ ยามาโมโต ได้รับคำสั่งให้โจมตีสหรัฐอเมริกา เขาได้กล่าวว่าญี่ปุ่นจะได้รับชัยชนะในระยะ 6 เดือนแรกของสงครามเท่านั้น และก็เป็นจริงตามคำกล่าว เพราะอีก 6 เดือนต่อมาหลังจากกรณีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้อย่างยับเยินในยุทธนาวีที่มิดเวย์

มหาสงครามและภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำลายล้างมนุษย์โลกต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ยังไม่มีใครและอะไรจะยับยั้งสงครามได้ ปรากฏการณ์ที่แสดงออกทางความเคลื่อนไหวของมุขบุรุษประเทศต่างๆ เป็นสิ่งบอกเหตุถึงสงครามอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าประเทศไหนสะสมอาวุธร้ายแรงที่โลกไม่เคยรู้จักและจะนำออกมายุติสงครามครั้งต่อไป อิทธิฤทธิ์พิษสงของอาวุธนั้น คนไทยโบราณบอกไว้ว่าเท่ากับอาทิตย์ 7 ดวงขึ้นพร้อมกัน

เผยแพร่ข้อมูลในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 พฤษภาคม 2564 

Source: https://www.silpa-mag.com/history/article_67249

The post สงครามในอดีตจากมุมมองคนไทย ระเบิดปรมาณูมีพิษสงเท่าอาทิตย์ 7 ดวงขึ้นพร้อมกัน appeared first on Thailand News.