ติดตามผ่านช่อง : Siammongkol Youtube Channel

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ในประวัติศาสตร์ไทย

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ในประวัติศาสตร์ไทย

ราชสำนักไทยได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ของการสถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินครั้งแรกเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อ พ.๒๔๕๔ (.๑๙๑๒ภายหลังธรรมเนียมการสืบสันตติวงศ์แบบคลุมเครือดำเนินมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

ก่อนที่จะเกิดตำแหน่งใหม่นี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเท้าความถึงตำแหน่งเก่าที่เคยเรียกกันว่า “วังหน้า” หรือตำแหน่งพระมหาอุปราช หรือที่เรียกในภาษาราชการว่า “พระราชวังบวรสถานมงคล อันเป็นพระอิสริยยศพิเศษของสมเด็จพระราชอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินในอดีต ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นตำแหน่งขององค์รัชทายาทด้วย

ทว่าในช่วงรัชกาลที่ ๑รัชกาลที่ ๔ นั้น พระมหาอุปราชต่างเสด็จสวรรคตไปก่อนหน้าพระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาในการทวงสิทธิ์การเป็นรัชทายาทสืบทอดราชสมบัติในพระราชวงศ์จักรี

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ได้เกิด “วิกฤตการณ์วังหน้า ขึ้น ทำให้ตำแหน่งนี้มีอันต้องยกเลิกไปโดยกะทันหัน และเป็นเหตุให้เกิดตำแหน่งองค์รัชทายาทตามธรรมเนียมใหม่ที่พระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินจะได้ขึ้นเสวยราชย์แทนเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต

โดยใน พ.๒๔๒๙ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์แรกในประวัติศาสตร์ไทย เฉกเช่นประเพณีปฏิบัติในทุกราชวงศ์แห่งทวีปยุโรปซึ่งถือเป็นต้นแบบของการสืบสันตติวงศ์ตามแบบอย่างสากล

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์แรก

จุดพลิกผันของการยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๕ เกิดจากความผิดพลาดในทางปฏิบัติการแต่งตั้งเจ้าวังหน้าในรัชกาลก่อนๆ เพราะเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินจะเป็นผู้ทรงเลือกสรรและสถาปนาด้วยพระองค์เอง

แต่เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๕ นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ และอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่าเสนาบดีผู้สูงอายุ จึงปราศจากโอกาสหรืออำนาจที่จะตัดสินพระราชหฤทัยเอง

โดยประธานในที่ประชุมเสนาบดีซึ่งมีกรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ผู้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้เสนอให้ยกพระโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวคือกรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ใน พ.๒๔๑๑

การแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นวังหน้าโดยพลการ สร้างความไม่พอใจให้เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่บางท่าน ทั้งยังก่อให้เกิดความระหองระแหงกินใจภายในราชสำนักต่อมาอีกหลายปี

ครั้นถึง พ.๒๔๑๗ ความอัดอั้นตันใจก็ระเบิดออกมาเป็นความหวาดระแวงกันเองระหว่างกองกำลังรักษาวังหลวงและวังหน้า ด้วยปรากฏว่ามีผู้ไม่หวังดีทิ้งหนังสือว่ามีผู้คิดจะปลงพระชนม์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ จนทำให้ทางวังหน้าเกิดตื่นตระหนกถึงกับมีการระดมกำลังทหารกว่า ๕๐๐ นาย เตรียมไว้ต่อสู้ บานปลายไปสู่วิกฤตการณ์วังหน้า

สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงแก๊สภายในพระบรมมหาราชวัง จนเกือบจะเกิดการเผชิญหน้ากันของกองทหารรักษาวังหลวงและวังหน้า

ความบาดหมางกินใจกันครั้งนั้น กดดันให้กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญได้ทรงลี้ภัยเข้าไปประทับอยู่ภายในสถานกงสุลอังกฤษ และเป็นเหตุให้มิสเตอร์น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ เรียกเรือรบเข้ามาเมืองไทยเพื่อรักษาความปลอดภัยและผลประโยชน์ให้แก่คนในบังคับอังกฤษ และฉวยโอกาสแทรกแซงกิจการภายในของราชสำนัก

เหตุการณ์ดังกล่าวที่มีมือที่สามเป็นชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ราชสำนักในสายตาชาวต่างชาติ จนรัชกาลที่ ๕ ต้องทรงเชิญสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาคผู้ที่วังหน้านับถือเข้ามาไกล่เกลี่ยจนเรื่องสงบลง

ต่อมาหลังจากที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคตลงในวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๒๘ แล้วจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่จะลดบทบาทและอำนาจของพระมหาอุปราช เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงแต่งตั้งเจ้านายพระองค์ใดดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชอีกเลย เพื่อหลีกเลี่ยงความกินแหนงแคลงใจระหว่างวังหน้ากับวังหลวง

ทั้งยังเป็นการใช้พระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินโดยชอบธรรมให้มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์โดยมิต้องให้คณะเสนาบดีเป็นผู้พิจารณาเลือกเฟ้นอันเป็นหนทางให้เสนาบดีใช้อิทธิพลและสร้างฐานอำนาจให้แก่ตนเอง อันจะเป็นปัญหาในการปกครองต่อไป

ในการนี้รัชกาลที่ ๕ ก็ได้ทรงยกเลิกประเพณีกรมพระราชวังบวรสถานมงคลลงโดยสิ้นเชิงใน พ.๒๔๒๙ แล้วทรงสถาปนาพระราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” แทน

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์แรกที่ได้รับสถาปนาในปีนั้นเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ประสูติจาก สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี อัครมเหสี (ต่อมาดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกในราชวงศ์จักรี ในขณะที่มีพระชันษาเพียง ๘ ปี

รัชกาลที่ ๕ โปรดปรานและสนิทเสน่หา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศยิ่งนัก โปรดให้ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้เรียนรู้พระราชกรณียกิจต่างๆ เตรียมการที่จะได้สืบสันตติวงศ์ต่อไปในภายภาคหน้า และให้เป็นพระราชโอรสองค์เดียวที่ไม่ทรงส่งไปศึกษา ณ ทวีปยุโรปอันไกลโพ้นด้วยเหตุผลดังกล่าว

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์ที่ ๒

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ทรงพระยศองค์มกุฎราชกุมารอยู่ได้เพียง ๗ ปีเศษ ก็เสด็จสวรรคตลงโดยกะทันหันด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๔๓๗ สิริพระชันษาเพียง ๑๖ ปี ๖ เดือน กับอีก ๗ วันเท่านั้น

รัชกาลที่ ๕ ทรงถือว่าพระราชโอรสที่ประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา และสมเด็จพระนางเธอเสาวภาผ่องศรี เป็นเสมือนพระมารดาเดียวกัน จึงได้ทรงสถาปนาพระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระนางเธอเสาวภาผ่องศรีผู้มีพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ กรมขุนเทพทวาราวดี” ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์ที่ ๒ สืบต่อไป

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๒๓ ต่อมาเมื่อมีพระชันษาได้ ๑๔ ปี ก็ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ และเมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศเสด็จสวรรคตนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ทรงเข้ารับการศึกษาวิชาการทหารอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ ณ ประเทศอังกฤษ

รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์ที่ ๒ โดยมีพระราชพิธีสถาปนาที่กรุงเทพฯ จากนั้นเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๓๗ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเสมอใจราช (ทองดี โชติกเสถียรอัญเชิญประกาศสถาปนาฐานันดรศักดิ์พร้อมเครื่องราชอิสริยยศและราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ณ ประเทศอังกฤษ ขณะที่มีพระชันษาได้ ๑๔ ปี

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงใช้เวลาศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษรวม ๙ ปี จนถึง พ.๒๔๔๕ ก็ได้เสด็จนิวัติกลับสยามโดยทางเรือผ่านทางสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

ภายหลังเสด็จฯ กลับแล้วก็ได้ทรงเข้ารับราชการทหาร โดยดำรงพระยศเป็น นายพลเอก ราชองครักษ์ จเรทหารบก ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก และทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในคราวที่สมเด็จพระบรมชนกนาถ (รัชกาลที่ ๕เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ พ.๒๔๕๐

ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ ๕ เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ นั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะที่มีพระชนมายุได้ ๓๐ พรรษาบริบูรณ์

การขานพระนามพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคพระวักกะพิการ (ไตวายณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังสวนดุสิต วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๕๓ เวลา ๒๔.๔๕ น. (เป็นวันที่ ๒๓ ตุลาคมสิริรวมพระชนมพรรษาได้ ๕๗ พรรษา กับอีก ๓๓ วัน

แต่เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยกะทันหัน มิได้มีการเตรียมการกันล่วงหน้าจึงเกิดความอลหม่านขึ้น อย่างแรก คือ การขานพระนามพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ซึ่งตามกฎมนเทียรบาลก็คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เหตุการณ์นี้ถูกรายงานไว้ตามที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงบันทึกไว้ว่า

ในเวลาดึกวันที่ ๒๓ ตุลาคมคือเมื่อทูลกระหม่อมได้สวรรคตลงแล้วนั้นได้เกิดโจทย์กันขึ้นว่าจะควรใช้ออกชื่อฉันว่ากระไรพวกเจ้านายรุ่นใหม่มีกรมนครชัยศรี เปนต้นร้องว่าไม่เห็นมีปัญหาอะไร ควรเรียกว่า ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว,’ แต่ท่านพวกเจ้านายผู้ใหญ่มีกรมหลวงเทววงศ์ และกรมหลวงนเรศร์ เปนต้นกล่าวแย้งว่า ธรรมเนียมเก่าต้องรอให้บรมราชาภิเษกแล้วจึ่งเรียกว่า ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ กรมนครชัยศรีถามว่า, ‘ถ้าเช่นนั้นแปลว่าในเวลานี้ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินฉนั้นหรือ?’ ท่านผู้ใหญ่ก็ตอบอ้อมแอ้มอะไรกันจำไม่ได้.

กรมนครชัยศรีจึ่งได้กล่าวขึ้นว่า ธรรมเนียมเก่าจะเปนอย่างไรไม่ทราบ แต่ในสมัยนี้จะปล่อยลังเลไว้เช่นนั้นไม่ได้ชาวต่างประเทศเขาจะเห็นแปลกนักเพราะเปนธรรมเนียมที่รู้อยู่ทั่วกันในยุโรปว่าในประเทศที่มีลักษณะปกครองเปนแบบราชาธิปตัยพระราชาต้องมีอยู่เสมอจนถึงแก่มีธรรมเนียมในราชสำนัก เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลงเมื่อใด ก็เปนน่าที่เสนาบดีกระทรวงวังหรือผู้ที่เปนหัวน่าราชเสวกออกมาร้องประกาศแก่เสนาบดีและข้าราชการผู้ใหญ่ว่า. ‘Messeigneurs et Messeieurs le Roi et Mort Vive le Roi’ (‘ใต้เท้าทั้งหลายและท่านทั้งหลายสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้ว ขอให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระเจริญยิ่งๆ’)

ในเวลาดึกวันที่ ๒๓ นั้นจึ่งไกล่เกลี่ยกันว่า ในประกาศภาษาไทยให้ใช้ออกชื่อฉันว่า ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ผู้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน,’ แต่ในหนังสือที่มีบอกไปยังพวกทูตใช้เปนภาษาอังกฤษว่า ‘His Majesty the King’ กรมนครชัยศรีว่าดึกแล้วขี้เกียจเถียงชักความยาวสาวความยืดต่อไปแต่พระองค์ท่านเองไม่ยอมเรียกฉันว่าอย่างอื่นนอกจากว่า ‘พระเจ้าอยู่หัว’ และเกณฑ์ให้ทหารบกเรียกเช่นนั้นหมดด้วย.

แต่มิใช่จะมีแต่คนไทยสมัยใหม่ที่ทักท้วงในเรื่องออกพระนามผิดกันในภาษาไทยกับภาษาฝรั่งเช่นนั้นถึงพวกฝรั่งที่รู้ภาษาไทยก็ร้องทักกันแส้ ว่าเหตุไฉนจึ่งใช้เรียกไม่ตรงกันในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมิสเตอร์เย็นส ไอเวอร์สัน เว็สเต็นการ์ด (Jens Iverson Westengard, ภายหลังได้เปนพระยากัลยาณไมตรี), ที่ปรึกษาราชการทั่วไปได้ทูลท้วงอย่างแขงแรงกับกรมหลวงเทววงศ์ว่า การที่จะคงให้เปนไปเช่นนั้นอีกไม่ได้เปนอันขาดเพราะอาจที่จะทำให้เกิดมีความเข้าใจผิดต่างๆ เปนอันมากอันไม่พึงปราถนานี่แหละท่านผู้ใหญ่ของเรามักจะเปนเสียเช่นนี้คือไม่ใคร่ชอบเชื่อฟังเสียงพวกเรากันเองและผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าพูดอะไรก็มักจะไม่ใคร่ยอมตามต่อมีฝรั่งทักท้วงกระตุ้นเข้าจึ่งจะยอมแพ้.

ครั้นเวลาบ่าย ๕ นาฬิกา วันที่ ๒๕ ตุลาคมฉันได้นัดประชุมพิเศษเปนครั้งแรกที่พระโรงมุขตวันตกแห่งพระที่นั่งจักรีมีผู้ที่ได้เรียกเข้าไปวันนี้ คือ น้องชายเล็กกรมหลวงนเรศร์กรมขุนสรรพสิทธิ์กรมหลวงเทววงศ์กรมขุนสมมตกรมหลวงดำรงและกรมหมื่นนครชัยศรีเพื่อปรึกษาข้อราชการและวางระเบียบที่จะได้ดำเนิรต่อไปแต่ก่อนที่จะพูดเรื่องอื่นๆ ได้กล่าวกันถึงเรื่องเรียกตำแหน่งของฉันกรมหลวงเทววงศ์ตรัสว่าแก้ปัญหาตกแล้วคือไปค้นในหนังสือแสดงกิจจานุกิจของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ที่เรียกกันว่า ‘กรมท่าตามืด’) ได้ความว่า

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าเสด็จสวรรคตแล้วนั้น ได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เรียกว่า ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวร’ ทันทีหาได้รอจนเมื่อกระทำพิธีบรมราชาภิเษกแล้วไม่ที่มาเกิดมีรอไว้ไม่เรียกว่า ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ ก็คือตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อก่อนที่กระทำพิธีราชาภิเษกหาได้ออกพระนามว่า ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ ไม่ ต่อมาจึ่งกลายเปนธรรมเนียมไป.

แต่เมื่อปรากฏว่าเคยได้มีธรรมเนียมเรียกว่า ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ พระองค์ ๑ แล้ว ก็เปนอันว่าในครั้งนี้ควรให้เปนไปเช่นกันไม่ต้องรอราชาภิเษกแต่คำว่า ‘มีพระบรมราชโองการ’ ควรให้รอไว้ก่อนให้ใช้ว่า ‘มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม’ ไปพลางส่วนข้อที่ได้ใช้ในคำประกาศว่า ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ผู้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน’ พลาดมาแล้วนั้นเพื่อจะแก้หน้ากับฝรั่งกรมหลวงเทววงศ์ทรงรับรองว่าจะไปกล่าวแก้ไขว่ารอไว้จนกว่าจะถือน้ำแล้วเท่านั้น.

การที่ได้ตกลงกันไปเสียได้เช่นนั้นทำให้ฉันโล่งใจมากเพราะก่อนนั้นรู้สึกไม่เปนที่เรียบร้อยดูราวกับฉันเปนผู้ที่ฉวยอำนาจไว้ได้แล้วแต่ยังจะต้องรอรับเลือกของใครๆ ต่อไปอีกก่อนจึ่งจะได้เปนพระเจ้าแผ่นดินจริงๆ พวกฝรั่งได้ร้องถามว่า การที่ยังไม่เรียกฉันว่า ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ นั้น แปลว่ายังไม่แน่ว่าจะได้เปนฉนั้นหรืออาจจะมีองค์อื่น ‘เคลม’ ได้อีกด้วยหรือพูดกันอย่างแสลงเช่นนี้ เว็สเต็นการ์ดจึ่งได้รู้สึกเดือดร้อน และไปทูลท้วงแก่เสด็จลุงอย่างแขงแรงส่วนเสด็จลุงเองท่านจะได้มีความคิดอยู่ในพระทัยอย่างไรบ้างฉันก็หาทราบไม่แต่ฉันนึกเดาเอาว่า ที่ท่านยังไม่ให้เรียกฉันว่า ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ นั้น ดูเหมือนจะเกิดจากความวิตกไปว่า ผู้อื่นเขาจะนินทาได้ว่าพระองค์ท่านเห่อแหนหลานซึ่งเปนธรรมดาของเสด็จลุงต้องชอบถ่อมไว้เช่นนั้นเสมอแต่แท้จริงเมื่อคำนึงดูแล้ว ก็ควรจะต้องเห็นว่า ครั้งฉันนี้ผิดกันกับครั้งก่อนๆ ทีเดียว

การขานพระนามพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ภายหลังพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนเสด็จสวรรคตนั้นเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง ดังปรากฏว่ามีนายเวสเตนการ์ด (พระยากัลยาณไมตรีให้ความคิดเห็นแบบชาวตะวันตกว่าควรจะดำเนินตามรูปแบบของการขานพระนามเฉกเช่นราชวงศ์หลักๆ อย่างราชวงศ์อังกฤษ ดังที่เคยมีมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดต่างๆ

ผู้เขียนจึงได้ค้นคว้าเหตุการณ์ทำนองเดียวกันของราชวงศ์อังกฤษ เมื่อสิ้นสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ใน ค.๑๙๐๑ (.๒๔๔๔สมัยเดียวกันกับรัชกาลที่ ๕ ของไทยก็ได้ข้อเท็จจริงว่ามีรายงานการขานพระนามพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ในทันทีทันใดเมื่อราชสำนักแจ้งข่าวการสวรรคตดังรายงานต่อไปนี้

ในบทความเรื่อง “พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่” หรือ The New King ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗  ในคืนวันสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๑๙๐๑ นั้น เจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) ซึ่งเป็นพระราชอิสริยยศของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เฉลิมพระอิสริยศักดิ์ในทันทีที่ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนถูกประกาศออกไปโดยมิต้องรอให้รัฐสภานัดประชุม ก็ให้ขานพระนามพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ได้ทันที

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ถือเป็นพระราชพิธีสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเป็นครั้งแรกของการที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร โดยตำแหน่งจะได้เข้าพิธีนี้ตามหลักเกณฑ์อันชอบธรรมและมีรากฐาน

จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียบเรียงขั้นตอนต่างๆ ตามที่เคยมีบันทึกไว้อย่างเป็นทางการโดยชาวราชสำนักเพื่อให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้องตามพระราชประเพณีที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์

หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดของพระราชพิธีนี้ ซึ่งได้นำมาอ้างอิงในบทความนี้มี ๑เรื่องพระราชประเพณี ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เขียนโดยจมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวชและ ๒เรื่องพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ในหนังสือสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ซึ่งรัฐบาลสยามจัดทำขึ้นในรัชกาลที่ ๗

ดังมีรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไปนี้

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมพระราชมนเทียร ในครั้งแรก อธิบายลักษณะพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำเป็นสองงาน คืองานในครั้งแรกนี้เรียกชื่อว่า “พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมนเทียร” ทำขึ้นในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.๒๔๕๓ เมื่อทำพิธีคราวนี้เสร็จแล้ว พอถึงวันที่ ๑๗ เดือนเดียวกันก็ลงมือประชุมเตรียมเรื่องงานพระเมรุของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในลำดับต่อไป ซึ่งจะลงมือในวันที่ ๑๓ มีนาคม ปีนั้นเอง เพราะในเดือนนั้นกำลังอยู่ในฤดูแล้งย่อมสะดวกสำหรับงานพระเมรุ สำหรับงานพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ที่นับว่าเป็นครั้งมโหฬารจะได้ทำกันในเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม พ.๒๔๕๔

เหตุที่ต้องแยกทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกออกเป็นสองงานนี้ ต้องนับว่าเป็นการจัดตามพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยตรง ทรงมีความเห็นว่าตามพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่เคยมีมาแต่โบราณกาลในประเทศไทยนั้นถือกันว่า พระมหากษัตริย์ที่จะเสด็จผ่านพิภพขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินอันถูกต้องนั้น จะต้องทำพิธีบรมราชาภิเษกเสียก่อน จึงจะนับว่าเป็นพระราชาธิบดีโดยสมบูรณ์ ถ้ายังมิได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ตราบใด ถึงจะได้ทรงรับรัชทายาทแล้ว เมื่อเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระราชวังหลวง ก็เสด็จอยู่เพียง ณ ที่พักแห่งหนึ่ง พระนามที่ขานก็คงใช้พระนามเดิม เป็นแต่เพิ่มคำว่า “ซึ่งสำเร็จราชการแผ่นดิน” เพิ่มเข้าท้ายพระนาม และคำรับสั่งก็ยังไม่ใช้พระบรมราชโองการ จนกว่าจะได้สรงมุรธาภิเษกทรงรับพระสุพรรณบัฏจารึกพระบรมนามาภิไธย และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์จากพระมหาราชครูพราหมณาจารย์ผู้ทำพิธีบรมราชาภิเษก แล้วจึงเสด็จขึ้นเฉลิมพระราชมนเทียรครอบครองศิริราชสมบัติสมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศ แห่งพระราชามหากษัตริย์แต่นั้นไป เพราะถือเป็นนิติดังกล่าวมานี้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินองค์ใด เสด็จผ่านพิภพ จึงรีบทำพิธีบรมราชาภิเษกภายใน ๗ วันบ้าง กว่านั้นบ้าง อย่างช้าภายในเดือนเศษ เป็นพระราชประเพณีสืบมาจนถึงรัชกาลปัจจุบันนี้

แต่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา สมเด็จพระบรมชนกนาถได้กระทำพระองค์ให้ทรงคุ้นเคยกับเจ้านายและประธานาธิบดีในต่างประเทศอย่างเป็นทางราชการ ถึงกับเสด็จออกไปผูกมิตรสัมพันธ์กับนานาประเทศเหล่านั้นหลายครั้ง จึงทำให้นับถือกันสนิทสนมกว่าครั้งก่อนๆ เป็นอันมาก ประกอบทั้งพระมหากษัตริย์ในทวีปยุโรปในเวลานั้น ยังครองราชสมบัติซึ่งมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขของประเทศกันอยู่มากแห่งด้วยกัน การบรมราชาภิเษกของเขาถือกันว่าเป็นการมงคลอันสำคัญ โดยปกติมักทำกันเมื่อเสร็จงานพระบรมศพก่อน เพื่อให้เวลาของการไว้ทุกข์ผ่านไปแล้วจึงทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นการรื่นเริง

อีกส่วนหนึ่งซึ่งพระเจ้าแผ่นดินและประธานาธิบดีของประเทศที่เป็นมิตรไมตรี มักแต่งเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่ เป็นผู้แทนไปช่วยให้เป็นเกียรติยศ เพราะเจ้านายของไทยเราก็ได้เคยถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนพระองค์ไปช่วยงานบรมราชาภิเษกตามต่างประเทศมาแล้วหลายคราวอันถือว่าเป็นธรรมเนียมที่พึงปฏิบัติต่อกันอยู่แล้ว อีกประการหนึ่งการเดินทางไปมารวมทั้งการสื่อสารในสมัยก่อนนั้น ต้องใช้เวลาติดต่อกันเป็นระยะแรมเดือน เพราะการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนในสมัยปัจจุบันนี้ การเดินทางมีอยู่ทางเดียว คือไปมาด้วยเรือกลไฟเดินสมุทร ไม่มีเครื่องบินสื่อสารย่นเวลาแม้แต่น้อย

ลักษณะการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบโบราณที่เคยทำกันมานั้น เมื่อคิดเทียบกับความนิยมของประเทศต่างๆ ที่เขาทำกัน จึงเป็นเรื่องที่ขัดข้อง คือถ้าจะทำการรื่นเริงในเวลาไว้ทุกข์ก็ไม่เหมาะสม ถ้ารีบทำลงไป ประเทศมิตรไมตรีย่อมไม่มีเวลาจะเดินทางมาร่วมงานด้วยได้ เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานขึ้นมิให้ขัดขวางกับธรรมเนียมของประเทศทั้งปวง เมื่อทรงนำพระกระแสพระราชดำรินั้นปรึกษาแก่พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีผู้ใหญ่ ก็เห็นชอบพร้อมกันว่า ให้จัดงานพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นสองครั้ง

ครั้งแรกให้เป็นงานพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมนเทียรตามโบราณราชประเพณี แต่งดการเสด็จแห่เลียบพระนครและงานรื่นเริงไว้ เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมชนกนาถผ่านไปแล้ว จึงทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชเป็นครั้งที่สอง จะได้จัดให้มีการรื่นเริงขึ้นทั่วไป ทั้งมีเวลาให้นานาประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรไมตรีมีโอกาสที่จะมาช่วยงานได้ การทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นสองครั้งนี้ ไม่ผิดพระราชประเพณีมาแต่โบราณ คือเมื่อครั้งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อแรกเสด็จปราบดาภิเษกในปี พ.๒๓๒๕ ทรงทำพิธีบรมราชาภิเษกพอเป็นสังเขปครั้งหนึ่ง ต่อมาทรงสร้างพระนครกับปราสาทราชมนเทียรแล้ว จึงทรงทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็มตามตำราอีกครั้ง เมื่อปี พ.๒๓๒๘

ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕ เมื่อแรกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี พ.๒๔๑๑ ครั้นเมื่อเสด็จออกทรงผนวชแล้ว จึงทรงทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง อาศัยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้ทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมพระราชมนเทียรในปี พ.๒๔๕๓ และทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชให้สมบูรณ์ในปี พ.๒๔๕๔

การทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก

งานได้เริ่มต้นในพระอุดบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.๒๔๕๓ โดยการนำแผ่นทองคำสำหรับใช้จารึกพระสุพรรณบัฏไปเข้าพิธีในทางศาสนา สวดมนตร์ รุ่งขึ้นมีการเลี้ยงพระ เมื่อพระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว พระยาศรีสุนทรโวหาร (กมล สาลักษณ์ได้ลงมือจารึกพระสุพรรณบัฏ หลวงโลกทีปลั่นฆ้องชัยให้สัญญาพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา พราหมณ์เป่าสังข์แล้วบรรจุพระสุพรรณบัฏลงหีบ ประดิษฐานไว้บนพานแว่นฟ้า พระราชพิธีสวดมนตร์เฉลิมพระราชมนเทียรกระทำต่อเนื่องกันในพระราชมณเฑียรสถาน จนกระทั่งถึงวันสำคัญ คือวันสรงมูรธาภิเษก ซึ่งเป็นวันตรงกับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นวันฉัตรมงคลในรัชกาลของพระองค์ พระฤกษ์สรงน้ำเป็นเวลาบ่าย ๓ โมง ๓๓ นาที ๕๖ วินาที

น้ำที่ใช้ในการนำมาเข้าพิธีนั้น เป็นน้ำที่ได้มาจากเบญจมหานทีในมัชฌิมประเทศ คือ คงคายมนานทีสรภี และอจิรวดี มาผสมกับแม่น้ำทั้ง ๕ ที่เป็นสายสำคัญของเมืองไทย ได้แก่ ๑ แม่น้ำเจ้าพระยา ๒ แม่น้ำนครชัยศรี ๓ แม่น้ำราชบุรี ๔ แม่น้ำเพชรบุรี ๕ แม่น้ำฉะเชิงเทรา มาผสมกับน้ำในสระทั้ง ๔ ของเมืองสุพรรณบุรี คือ สระแก้วสระคงคาสระเกษและสระยมนา น้ำดังกล่าวนี้ได้นำไปบรรจุไว้ที่พระมณฑป พระกระยาสนานสถิตเหนืออุทุมพรราชอาสน์กลางแจ้งที่ชาลาด้านตะวันออกของพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

เมื่อได้เวลาอันเป็นอุดมฤกษ์แล้ว พระยาราชโกษา (หรุ่น วัชโรทัย ภายหลังเป็นพระยาอุทัยธรรมไขสหัสธารา สำหรับสรงถวาย พระโหราธิบดีลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ทักษิณาวรรต พระสงฆ์ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สวดชัยมงคลคาถา เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์บัณเฑาะว์มโหระทึกเครื่องดุริยดนตรีปืนมหาฤกษ์ มหาไชยมหาจักร และมหาปราบยุค ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ในสนามหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ยิงสดุดี ๒๑ นัดปืนใหญ่ในท้องสนามหลวงของกรมทหารบกทหารเรือ ยิง ๑๐๑ นัด พระสงฆ์ตามพระอารามต่างๆ ย่ำระฆังและสวดถวายชัยมงคล ๗ ลา

ครั้นแล้วพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต ถวายพระกริ่ง และสรงน้ำพระพุทธมนตร์ ถวายเสร็จแล้วสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และพระพิมลธรรมเข้าถวายน้ำพระพุทธมนตร์ หลังจากนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี จึงขึ้นถวายน้ำสรง ต่อจากนั้นจึงถึงพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ คือ

สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช

พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงนเรศร์วรฤทธิ์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงเทววงศ์วโรปการ

พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ

เสร็จแล้วพระยาเทพทวาราวดี (สาย ณ มหาชัยได้เชิญฉลองพระองค์คลุมสีเหลืองให้คลุมพระองค์ เจ้าหมื่นไวยวรนาถ นำฉลองพระบาทขึ้นทูนเกล้าฯ ถวายแล้วจึงเสด็จขึ้นยังพระที่นั่งสุราลัยพิมาน เพื่อเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ตามสีพิชัยสงคราม ทรงพระสนับเพลาเชิงงอน ทรงพระภูษาเขียนทองพื้นเหลือง ทรงฉลองพระบาทตาดพื้นเหลืองประดับพระดาราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งห้า ทรงสวมสายสะพายขัติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ พร้อมทั้งพระสังวาล ทรงสวมฉลองพระองค์ครุยกรอบทองริ้วปัตหล่าชั้นนอก ครั้นแล้วจึงเสด็จออกพระที่นั่งอัฐทิศเพื่อรับน้ำมหาสังข์จากราชบัณฑิตและพราหมณ์ตามทิศทั้งแปด

ครั้นเวลาบ่ายเสด็จออกยังท้องพระโรง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับเหนือพระที่นั่งภายในพระมหาเศวตฉัตร เพื่อเปิดโอกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าและข้าราชการกราบบังคมทูลถวายพระพร เสด็จแล้วจึงมีพระราชดำรัสตอบแล้วจึงเสด็จขึ้นยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับที่พระที่นั่งภัทรบิฐอีก เพื่อให้ข้าราชการฝ่ายในเข้ากราบบังคมทูลถวายพระพร แล้วมีพระราชดำรัสตอบ เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงเสด็จเข้าไปในพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรชั้นใน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าไปประทับในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงโปรยดอกพิกุล และเงินสลึง และในตอนนี้ใช้นางเชื้อพระวงศ์ เป็นผู้เชิญพระแสงและเครื่องราชูปโภคตามเสด็จ เมื่อเสด็จถึงพระที่นั่งมนเทียรสถานแล้ว ทรงจุดเทียนนมัสการ แล้วจึงขึ้นประทับบนพระแท่นบรรทม สมเด็จพระเจ้าอัยยิกาเธอ พระองค์เจ้าแม้นเขียน ทูนเกล้าฯ ถวายดอกหมากทองคำและพระแส้หางช้างเผือกคู่ ทรงรับแล้ววางไว้ข้างพระที่ ท้าวทรงกันดารถวายกุญแจทองคำ แล้วเอนพระองค์ลงเหนือพระแท่นที่บรรทมโดยทักษิณปรัศว์เป็นพระฤกษ์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีทรงอวยพระพรถวาย พระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายในถวายชัยมงคล มีประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรี เสร็จแล้วประทับในพระมหามนเทียรแห่งนี้เป็นการทรงประเดิม

สรุปตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าให้จัดงานพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรกให้จัดเป็นงานพระราชพิธีและเฉลิมพระราชมนเทียรตามโบราณราชประเพณี แต่งดการเสด็จแห่เลียบพระนครและงานรื่นเริงไว้ เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมชนกนาถผ่านไปแล้ว จึงค่อยทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชเป็นครั้งที่ ๒

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชครั้งที่ ๒

ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชครั้งที่ ๒ นั้นจัดขึ้นในปีถัดมาคือ พ.๒๔๕๔ ภายหลังงานพระเมรุแล้ว

การจัดในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น เป็นการจัดอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากประเทศสยามได้เป็นที่ยอมรับและนับหน้าถือตาโดยประชาคมในโลกตะวันตกภายหลังรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงมีปฏิสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับราชวงศ์หลักของทวีปยุโรป ทำให้มีผู้แทนพระองค์ของราชวงศ์ต่างๆ ได้รับเชิญให้เข้ามาร่วมในพระราชพิธีสำคัญนี้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ขนาดที่นิตยสาร The National Geographic Magazine ส่งนักข่าวเข้ามาทำสกู๊ปพิเศษในงานพระราชพิธีสำคัญนี้ แล้วนำไปลงในนิตยสารของตนฉบับประจำเดือนเมษายน ๑๙๑๒ เผยแพร่ไปทั่วโลก

และในเอกสารของทางการชื่อว่าหนังสือ “สยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเปรียบได้กับหนังสือแจกในงานพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.๒๔๖๘ ได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๖ โดยเฉพาะพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช พ.๒๔๕๔ ไว้อย่างงดงามอลังการ

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งหลัง ปรากฎความตามหมายกำหนดการโดยย่อดังต่อไปนี้.

วันที่ ๒๘ และ ๒๙ พฤศจิกายน.

เจ้านานาประเทศกับเอคอรรคราชทูตพิเศษจากนานาประเทศได้มาถึงในสองวันนี้.

เจ้านานาประเทศเสด็จขึ้นที่ท่าราชวรดิษฐ์ และเอกอรรคราชทูตพิเศษซึ่งจะพักแรมอยู่ที่พระราชวังดุสิตขึ้นที่ท่าวาสุกรี ได้รับการต้อนรับอย่างมีเกียรติยศเช่นเดียวกันทั้งสองพวก.

เมื่อมาถึงแล้ว เจ้านาๆ ประเทศพากันได้เข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง และได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารในวันที่มาถึงนั้น.

ค่ำวันที่ ๒๙ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงมีงานเลี้ยงอาหารเจ้านาๆ ประเทศ และเอกอรรคราชทูตพิเศษที่มาถึงเมื่อวันที่ ๒๘.

วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน

เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงประเคนอาหารบิณฑบาตร ทรงประเคนไตรและเครื่องไทยธรรมแก่พระสงฆ์สมณศักดิ์ ๘๐ รูป แล้วจึงเริ่มพิธีพราหมณ์.

เวลาบ่ายเสด็จออก บรรดาเจ้านานาประเทศและเอกอรรคราชทูตพิเศษเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท แล้วพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวัน.

เวลาค่ำ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงเชิญเจ้านานาประเทศตามที่กล่าวข้างบนไปในงานเลี้ยงอาหารพวก ๑ และนอกจากนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงเปนภารธุระเชิญอิกพวก ๑ ต่อไป.

วันที่ ๑ ธันวาคม

หมายกำหนดการวันนี้ เมื่อได้กล่าวว่าเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงนครบาลจะมีงานเลี้ยงบรรดาเจ้านานาประเทศและเอกอรรคราชทูตพิเศษที่มาในงานพระราชพิธีคราวนี้แล้ว มีกำหนดการต่อไปว่า.

เวลา ๔ ล.เริ่มพิธีสงฆ์ในลานพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อทำน้ำพระพุทธมนตร์ เปนเครื่องพระกระยาสนานในพระราชพิธี.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศเข้าเฝ้าในงานพระราชพิธีนี้.

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิศณุโลกประชานารถได้มีการเลี้ยงเจ้านานาประเทศและเอกอรรคราชทูตพิเศษ.

เวลาค่ำมีการจุดประทีปโคมไฟทั่วพระนคร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับเรือพระที่นั่งยนตร์เสด็จพระราชดำเนินโดยทางชลมารคทอดพระเนตร์การจุดประทีปโคมไฟตามลำน้ำ.

วันที่ ๒ ธันวาคม

เวลา ๙.๔๐ ก.ได้เริ่มพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท.

ภายหลังที่ได้สรงน้ำมหามุรธาภิเษกในพระราชวังแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับพระที่นั่งอัฐทิศ เจ้านานาประเทศเข้าเฝ้าที่พลับพลาซึ่งได้จัดไว้จนตลอดพิธี.

แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับน้ำอภิเษกจากมหาเจดีย์สถานและมณฑลต่างๆ ตามทิศ เสร็จแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นทรงผลัดพระภูษา.

เวลา ๑๐.๔๐ ก.จะได้ตั้งขบวนเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์กับเครื่องราชูปโภคและพระแสงอัษฎาวุธที่พระที่นั่งรัฐยา อันอยู่ติดต่อใกล้เคียงกับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งเจ้านานาประเทศ และอรรคราชทูตพิเศษผู้แทนประเทศต่างๆ พร้อมด้วยทูตานุทูตและเหล่าเสนามาตย์ราชเสวกชั้นผู้ใหญ่จะได้ประชุมรอเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสถิตเหนือพระทั่นั่งมนังคศิลา ภายหลังที่พราหมณ์สวดถวายไชยมงคลแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ได้เข้าเฝ้าถวายบังคม เหล่าเสนามาตย์ราชเสวกเข้าเฝ้าถวายบังคมในโอกาสนั้นด้วย.

ครั้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นลง แล้วเสด็จขึ้นสู่พระที่นั่งชั้นใน บรรดาเสนามาตย์ราชเสวกไปรอรับเสด็จที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้านานาประเทศและทูตานุทูตทรงพระดำเนินด้วยขบวนพยุหยาตราสู่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม.

แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงพระราชดำเนินสู่พระอุโบสถ.

ผู้ที่ได้เข้าเฝ้าในพระอุโบสถนั้น มีฉเภาะแต่เจ้านานาประเทศและทูตานุทูต

ตามหมายกำหนดการกล่าวต่อไปว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงประกาศพระไตรยรัตนสันนิยาตร์รับเปนพระพุทธศาสนูปถัมภกในท่ามกลางพระสงฆ์สมณะศักดิ์ ๘๐ รูป อันมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณะเจ้าเปนประธาน พระสงฆ์สวดประสิทธิ์พระพรถวาย แล้วเสด็จพระราชดำเนิรโดยขบวนพยุหยาตราคืนสู่พระราชมณเฑียรสถาน เวลาค่ำมีงานเลี้ยงอาหารพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้าผู้แทนนานาประเทศ แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถยนตร์พระที่นั่ง ทอดพระเนตร์การจุดประทีปโคมไฟโดยทางสถลมารคแล้วเสด็จวัดเบญจมบพิตร์ ซึ่งมีงานปีในวันนั้น.

วันที่ ๓ ธันวาคม

เวลาบ่าย ๒ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครเปนขบวนพยุหยาตราโดยสถลมารคตามโบราณราชประเพณีเคลื่อนขบวนจากพระบรมมหาราชวัง หยุดประทับพลับพลา ณ ท้องสนามหลวง เพื่อประชาชนเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทและกราบถวายบังคมถวายไชยมงคล.

ครั้นแล้วเคลื่อนขบวนเสด็จพระราชดำเนินไปวัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนมัสการพระพุทธชินศรีซึ่งเปนพระพุทธรูปมาแต่โบราณแล้วเคลื่อนไปทางถนนพระราชดำเนิน ประทับพลับพลา บรรดาชาวยุโรปเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมถวายไชยมงคล แล้วเสด็จพระราชดำเนินสู่วัดพระเชตุพน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนมัสการพระอารามซึ่งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสร้าง แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่พระบรมมหาราชวัง.

สมเด็จพระบรมราชินี พระพันปีหลวง และบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในตามเสด็จทั้งสองพลับพลา เจ้านานาประเทศเฝ้าในระหว่างที่ประชาชนกราบถวายบังคมถวายไชยมงคล.

เวลาค่ำ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ทรงเชิญเจ้านานาประเทศไปเสวยที่วัง.

วันที่ ๔ ธันวาคม

เวลา ๓ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครเปนขบวนพยุหยาตราโดยชลมารคตามโบราณราชประเพณี ขบวนเสด็จพระราชดำเนินเคลื่อนที่ออกจากท่าราชวรดิษฐ์ตรงสู่วัดอรุณราชวราราม ภายหลังที่ได้ทรงนมัสการแล้ว เสด็จพระราชดำเนินคืนสู่พระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรมราชินีพระพันปีหลวงเสด็จพร้อมด้วยเจ้าหญิงต่างประเทศ อรรคราชทูตพิเศษและข้าราชการเฝ้าเมื่อเสด็จพระราชดำเนินจากท่าราชวรดิษฐ์.

เวลาค่ำทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงอาหารในพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย.

วันที่ ๕ ธันวาคม

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ทรงเชิญฮิสรอแยลไฮเนสปรินซ์วัลดีมาร์ปรินซ์โอเคปรินซ์อัคเซลและปรินซ์แอริค แห่งประเทศเดนมารคกับฮิสอิมปิเรียลไฮเนส ปรินซ์ฮิโรยะสุฟุชิมิแห่งประเทศญี่ปุ่น เสวยอาหารกลางวัน.

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิศณุโลกประชานารถได้ทรงเชิญฮิสรอแยลไฮเนสปรินซ์วิลเลียม และเฮอร์อิมปิเรียลไฮเนสปรินเซสวิลเลียมแห่งประเทศสวิเดนฮิสอิมปิเรียลไฮเนสแกรนด์ดยุคบอริสแห่งรุสเซียและฮิสซีรีนไฮเนสปรินส์อาเล็กซานเดอร์และเฮอร์รอแยลไฮเนสปรินเซสอาเล็กซานเดอร์ออฟเต๊ก เสวยกลางวัน.

เวลา ๓.๓๐ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินสู่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในการประพรมธงไชยเฉลิมพลแห่งกองทัพบกด้วยน้ำพระพุทธมนตร์.

เวลา ๔ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินสู่ท้องสนามหลวงเพื่อนักเรียนเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมถวายไชยมงคล สมเด็จพระบรมราชินีพระพันปีหลวงจะได้เสด็จประทับพลับพลาและอรรคราชทูตผู้แทนพิเศษได้เข้าเฝ้าด้วย.

เวลาค่ำ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพทรงเชิญเจ้านานาประเทศและอรรคราชทูตผู้แทนพิเศษที่ได้รับเชิญเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ไปในงานเลี้ยงอาหารที่วัง.

ฮิสเอกเซลเลนซี อรรคราชทูตญี่ปุ่น ได้เชิญฮิสอิมปิเรียลไฮเนสปรินซ์ฮิโรยะสุ แห่งประเทศญี่ปุ่นเสวยอาหารค่ำ.

ฮิสเอกเซลเลนซี อรรคราชทูตรุสเซีย ได้เชิญฮิสรอแยลไฮเนสปรินซ์วัลดีมาร์ปรินซ์โอเคปรินซ์อัคเซลและปรินซ์เอริคแห่งเดนมารคเลี้ยงอาหารค่ำ.

เวลา ๙ ล.มีโขนแสดงที่โรงละคอนหลวง.

วันที่ ๖ ธันวาคม

เวลา ๓.๓๐ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประทับพลับพลาท้องสนามหลวง พระราชทานธงไชยเฉลิมพลแก่กองทัพบก สมเด็จพระบรมราชินีพระพันปีหลวงได้เสด็จล่วงหน้าไปก่อนและบรรดาเจ้านานาประเทศและเจ้าหญิงกับอรรคราชทูตผู้แทนพิเศษ พากันเข้าเฝ้างานนั้น.

เวลาค่ำพระราชทานเลี้ยงนายทหาร.

ภายหลังที่เสร็จการเลี้ยงแล้ว เจ้าพระยายมราชมีงานสโมสรสันนิบาตที่กระทรวงนครบาล

วันที่ ๗ ธันวาคม

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศร์ ทรงเชิญเจ้านานาประเทศและอรรคราชทูตผู้แทนพิเศษ เสวยและรับประทานอาหารกลางวัน.

เวลา ๓ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตร์การตรวจพล ณ ท้องสนามหลวง สมเด็จพระบรมราชินีพระพันปีหลวงพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในเสด็จในงานนี้ และเจ้านานาประเทศและอรรคราชทูตผู้แทนพิเศษและคณะทูตานุทูตเข้าเฝ้า.

เวลาค่ำเสด็จพระราชดำเนินยังกระทรวงกระลาโหม กองทหารบกชักยัญไฟถวายไชยมงคล.

วันที่ ๘ ธันวาคม

เวลาเช้า เจ้านานาประเทศทุกพระองค์เสด็จประพาศจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและบางปอินเสด็จกลับโดยรถไฟพิเศษเวลา ๔ ล..

เวลา ๓.๓๐ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้วยขบวนรถม้าพระที่นั่งประทับพลับพลาที่สามแยก พ่อค้าจีนและแขกเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมถวายไชยมงคล.

เวลาค่ำ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรประการ มีงานเลี้ยงที่กระทรวงต่างประเทศ.

ภายหลังจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินในงานสโมสรของกระทรวงทหารเรือและทอดพระเนตร์การจุดดอกไม้เพลิง ซึ่งเสนาบดีกระทรวงวังได้ทรงจัด.

วันที่ ๙ ธันวาคม

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ทรงเชิญฮิสรอแยลไฮเนสปรินส์วิลเลียมและเฮอร์อิมปิเรียลปรินเซสวิลเลียมแห่งสวิเดนฮิสอิมปิเรียลไฮเนสแกรนด์ดยุคบอริสแห่งรุสเซีย และฮิสรอแยลไฮเนสปรินซ์อาเล็กซานเดอร์กับเฮอร์รอแยลไฮเนสปรินเซสอาเล็กซานเดอร์ออฟเต๊ก เสวยกลางวัน.

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ได้เชิญฮิสรอแยลไฮเนสปรินซ์วัลดีมาร์ปรินซ์โอเคปรินซ์อัคเซลและปรินซ์เอริคแห่งเดนมาร์ค และฮิสอิมปิเรียลไฮเนสปรินส์ฮิโรยะสุ เสวยกลางวัน.

เวลาบ่าย ที่สโมสรเสือป่ามีการประชุมเสือป่าเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท บรรดาผู้เปนแขกที่ได้รับเชิญไปถึงเวลา ๓.๓๐ ล.สมเด็จพระบรมราชินีพระพันปีหลวงได้เสด็จสโมสรถึง ๓.๔๕ ล.เวลา ๔ ล.กองเสือป่าได้เริ่มเดินขบวนเข้าบริเวณสโมสร เวลา ๔.๓๐ ล.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงสโมสรเสือป่า ทอดพระเนตร์การตรวจพลแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับพระบรมมหาราชวัง.

เวลาค่ำ ฮิสรอแยลไฮเนส พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงเชิญอรรคราชทูตพิเศษบางคนไปเลี้ยงอาหารที่วัง.

อรรคราชทูตอังกฤษ เชิญปรินซ์อาเล็กซานเดอร์ออฟเต๊ก เสวยเวลาค่ำ.

อรรคราชทูตรุสเซีย เชิญปรินซ์และปรินเซสวิลเลียมแห่งสวิเดนและแกรนด์ดยุคบอริสแห่งรุสเซีย เสวยเวลาค่ำ.

อุปทูตฝรั่งเศส เชิญอรรคราชทูตผู้แทนทูตพิเศษรับประทานเวลาค่ำ.

วันที่ ๑๐ ธันวาคม

นายกองนายหมู่เสือป่ามีการเลี้ยงถวายเปนพระเกียรติยศที่สโมสรเสือป่า ภายหลังจากนั้นได้มีการจุดดอกไม้เพลิง บรรดาเจ้านานาประเทศและอรรคราชทูตผู้แทนพิเศษที่ยังอยู่จนถึงวันงานนี้ และบรรดาคณะทูตานุทูตก็ได้รับเชิญในงานนี้ด้วย.

ตามที่ได้กล่าวมาข้างบนนั้น เปนหมายกำหนดการของทางราชการ และพิธีการก็ได้กระทำสำเร็จครบถ้วนตามหมายนั้นแล้วทุกประการ.

ในโอกาสนี้ได้มีการตกแต่งเปลี่ยนแปลงในพระบรมมหาราชวังและพระที่นั่งเปนอันมาก และวังซึ่งเดิมสร้างสำหรับเปนที่ประทับของมกุฎราชกุมารนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงเปนพิพิธภัณฑ์ของสยาม เก็บศิลปหัดถกรรมและสิ่งของอื่นๆ อีกมาก สำหรับอนุญาตให้ราษฎรเข้าชมได้ ห้องในวังซึ่งมีเปนอันมากนั้น ล้วนแล้วไปด้วยสิ่งของอันเหมาะแก่การเผยแผ่ให้ราษฎรดูอย่างยิ่ง.

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชนี้ ตามบ้านเรือนทุกแห่ง ตกแต่งโคมไฟไว้งดงามมาก ส่วนทางแม่น้ำนับตั้งแต่สามเสนถึงบางคอแหลมก็ตกแต่งธงทิวและโคมไฟต่างๆ เช่นเดียวกัน ตลอดจนบรรดากระทรวงและที่ทำการของรัฐบาล และบริษัทใหญ่ๆ ก็จัดเปนการเอิกเริกในพระราชพิธีสมโภช พิธีนี้กล่าวกันว่าเปนที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือยนตร์พระที่นั่งทางชลมารค เพื่อทอดพระเนตร์การตกแต่งของราษฎรได้ทำขึ้นเพื่อพระเกียรติยศ และความงดงามแห่งการตกแต่งในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเปนที่น่ายินดียิ่งนัก ซึ่งถ้าจะบรรยายลงในที่นี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจเปนยุกติธรรมคู่ควรกับความจริงก็ได้.

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้ดำเนินต่อไปดังที่เปนมาแล้วตามโบราณราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ครุยกรองทอง ทรงพระสังวาลย์ เครื่องราชอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้ากับฉลองพระองค์ครุย เสด็จทรงพระราชดำเนินสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พร้อมด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ มงกุฎหนึ่ง ฉัตร์หนึ่ง พระขรรค์ ฉลองพระบาทหนึ่ง พัดหนึ่ง ข้าราชการกระทรวงวังเปนผู้เชิญ.

มีผู้นำเสด็จสิบแปดคน เรียงคู่เปนสองสาย คู่ที่หนึ่ง หลวงเทพาจารย์ (พราหมณ์เชิญพิฆเนศวรอันเปนพระผู้ประสิทธิ์ความสำเร็จทั้งหลาย หม่อมเจ้าพร้อมเชิญพระไชยเนาวโลท์ ซึ่งเปนพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะเก้าอย่าง ถัดมาจากนั้นมีพราหมณ์ ๔ คนขับไม้บัณเฑาะว์ เป่าสังข์อุตตราวัฎ ๔ คน ทักษิณาวัฎ ๒ คน โปรยเข้าตอก ๔ คน พระพิเรนทรงเทพเชิญธงไชย พระครุฑพาห พระอินทรเทพเชิญธงไชยราชกระบี่ธุช.

ผู้ที่ตามเสด็จนั้น เดินเปนแถวละ ๔ คน ดังต่อไปนี้.

แถวที่ ๑ เจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี เชิญพระขรรค์ไชยศรี จมื่นจงภักดีองค์ขวา เชิญพระมหาเศวตฉัตร พระยาเทพาภรณ์ เชิญพานพระมหาพิไชยมงกุฎ พระยาอัศวบดีศรีสุรพาหะ เชิญธารพระกร,

แถวที่ ๒ นายจ่ายง เชิญฉลองพระบาท นายจ่าเรศ เชิญพระแส้หางช้างเผือก พระราชโกษา เชิญพระธำมรงค์มหาวิเชียรจินดา หลวงศักดิ์นายเวร เชิญพัดวาฬวิชนี.

แถวที่ ๓ นายเสน่ห์ เชิญพระเต้าทักษิโณทก นายโสภณอัศดร เชิญพระมณฑป นายพินิจราชการ เชิญพานพระขันหมาก นายสุนทรมโนมัย เชิญพระสุพรรณศรีบัวแฉก.

แถวที่ ๔ นายสุจินดา เชิญพระแสงศรกำลังราม นายพินัยราชกิจ เชิญพระแสงดาบเขน นายพลพัน เชิญพระแสงตรี นายขัน เชิญพระแสงจันทร์.

แถวที่ ๕ นายรองวิไชยดุรงคฤทธิ์ เชิญพระแสงของ้าวแสนพลพ่าย นายรองขัน เชิญพระแสงดาบเชลย นายรองพิจิตรสรรพการ เชิญพระแสงหอกเพ็ชร์รัตน์ นายฉัน เชิญพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสโตง.

แถวที่ ๖ นายรองสุจินดา เชิญพระแสงดาพไข นายลิขิตสารสนอง เชิญพระแสงไชยเพ็ชร์ นายรองพลพัน เชิญพระแสงพระนารายณ์ และนายรองกวด เชิญพระแสงนาคราชสามเศียร.

พระราชพิธีสุดท้ายได้กระทำสำเร็จไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้วยขบวนพยุหยาตราเลียบพระนครโดยสถลมารค นายพลตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงกำแพงเพ็ชร์อัครโยธิน ทรงจัดขบวน เมื่อเริ่มเสด็จให้เคลื่อนพยุหยาตรานั้น ชาวประโคมได้ประโคมแตรสังข์และกลองมโหรทึกอย่างสมัยก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับพระราชยานสพรั่งด้วยเหล่าอำมาตย์ราชเสวกสองข้างทาง ทรงพระชฎามหากฐิน.

พระราชพิธีนี้เปนงานซึ่งชวนตื่นเต้นยิ่งนัก และสมแก่พระบรมราชเกียรติแห่งพระมหากษัตริย์ทุกประการ.

ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ใน พ.๒๔๕๔ แล้ว ราชอาณาจักรสยามก็ว่างเว้นพระราชประเพณีนี้เรื่อยมาเป็นเวลา ๑๐๕ ปีแล้ว เนื่องจากมิได้มีการสถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร อีกเลยในรัชกาลที่ ๗รัชกาลที่ ๘

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นประเพณีนี้อีกครั้งใน พ.๒๕๑๕ ด้วยการสถาปนาพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระองค์ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ในฐานะองค์รัชทายาทตามขัตติยราชประเพณีโบราณ

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต เมื่อดำเนินตามกฎมนเทียรบาล เรากำลังจะได้เห็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันยิ่งใหญ่อย่างสมพระเกียรติของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ในไม่ช้านี้ [พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในวันที่ ๔ – ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการจัดขึ้นในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ – กองบก.ออนไลน์

เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 9 เมษายน พ.ศ.2562

Source: https://www.silpa-mag.com/history/article_30715

The post พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ในประวัติศาสตร์ไทย appeared first on Thailand News.