
“ห่าฝน” ในประวัติศาสตร์ไทย “ห่าหนึ่ง” หมายถึงเท่าไหร่?
น้ำท่วมกรุงเทพฯ พ.ศ. 2485
ฝนกับคนไทยมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพในทางกสิกรรมซึ่งต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก แม้แต่ในปัจจุบัน ถ้าปีใดฝนแล้ง การทำไร่ไถนาก็มักจะไม่ได้ผล ด้วยเหตุนี้ชาวไร่ชาวนา ตาสี ตาสา จึงมักจะถามถึงนาคให้น้ำตามปฏิทินเสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำกี่ตัว ฝนตกทั้งหมดกี่ห่า ข้าวกล้าในนาจะดีหรือจะเสีย
นอกจากจะเกี่ยวกับการกสิกรรมของคนไทยดังกล่าวแล้ว ในประวัติศาสตร์ ฝนก็ยังมีบทบาทสำคัญ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งบางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ดี แต่บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ร้าย
ในรัชกาล 4 มีเรื่องเกี่ยวกับฝนที่น่าสนใจ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือสมเด็จพระนางเจ้าควีนวิกตอเรีย พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ได้ถวายเครื่องรองน้ำฝนแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเครื่องหนึ่ง ซึ่งจากประกาศว่าด้วยเครื่องรองน้ำฝนอย่างยุโรป มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“—เครื่องมือนี้ดีมาก แต่ว่าคนที่รองน้ำฝนแต่ก่อน สันดานไพร่หยาบคายเลวนัก รู้จักแต่จะหุงข้าวตำแกงตำน้ำพริก กินข้าวแล้วเกียจคร้านที่จะล้างมือแลหาผ้าเช็ดมือ เอามือเช็ดหัวตัวเอง ไม่รู้จักดูแลของใช้ดี ๆ เลย ไกลนักหนาแต่ความรู้ละเอียด เพราะฉะนั้นก่อนนี้ไป ด้วยเครื่องมือนั้น หาได้ความเป็นแน่ไม่…”
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้นถึงกับทรงจดทำเป็นบัญชีน้ำฝนไว้โดยเฉพาะ โดยทรงเริ่มจดทำเป็นบัญชีรายวันตั้งแต่ พ.ศ. 2389 ในรัชกาลที่ 3 จนถึง พ.ศ. 2433 ในรัชกาลที่ 5 รวมเป็นเวลา 45 ปี นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงอธิบายคำว่า “ห่าฝน” ไว้ด้วย มีข้อความบางตอน ดังนี้
“…ก็คำที่เขาพูดกันว่าฝนตกได้ ห่าหนึ่งนั้น คือเขาเอาบาตร์หรือหอยโข่งมาตั้งไว้กลางแจ้ง ถ้าได้น้ำเต็มอันนั้นแล้ว เขาเรียกว่าได้ห่าหนึ่ง…ก็บาตร์ตะกั่วที่สำหรับรองน้ำในพระบรมมหาราชวังครั้งเก่านั้น ปากกว้างแทงตลอด 10 นิ้วกึ่ง สูง 9 นิ้ว กะพุ้งโดยรอบ 1 คืบ 10 นิ้ว จุน้ำ 12 ทะนาน ๆ ละ 4 ถ้วยใหญ่ ๆ 2 ถ้วยกลาง ๆ 2 ถ้วย ยอด ๆ คิดเป็นน้ำนิ้วกึ่ง (10 เซ็นต์ครึ่ง) ถ้วยกลางคิดเป็นน้ำ 3 นิ้ว (21 เซ็นต์) ถ้วยใหญ่คิดเป็นน้ำ 6 นิ้ว (42 เซ็นต์) ทะนานหนึ่งเป็นน้ำ 24 นิ้ว (168 เซ็นต์) บาตร์หนึ่ง…”
ข้อมูลจาก
“ฝนประวัติศาสตร์ของเมืองเรา”. จากหนังสือ กรุงเทพฯ ในอดีต. โดย เทพชู ทับทอง. อักษรบัณฑิต. 2518
Source: https://www.silpa-mag.com/history/article_20602
The post “ห่าฝน” ในประวัติศาสตร์ไทย “ห่าหนึ่ง” หมายถึงเท่าไหร่? appeared first on Thailand News.
More Stories
เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนที่ใช้เวลาถึง 5 แผ่นดิน จึงได้ก่อสร้าง?
เขื่อนเจ้าพระยาทอดขวางแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท มีสะพานเชื่อมพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำ และประตูน้ำติดกับเขื่อนเพื่อให้เรือล่องผ่านเขื่อนไปมาได้ ภาพถ่ายเมื่อเขื่อนเปิดใช้งาน พ.ศ. 2500 (ภาพจาก “ประวัติศาสตร์ชัยนาท”) เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนทดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างอยู่บนแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท ในโครงการชลประทานใหญ่เจ้าพระยาใหญ่ ที่มีแนวคิดในการก่อสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็มีอันต้องเลื่อนโครงการออกไปถึง 2 ครั้ง กว่าจะได้ลงมือดำเนินและแล้วเสร็จก็ผ่านมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 เหตุขัดข้องในการสร้าง...
เปิดชีวิต ฟรานซิส จิตร ช่างภาพรุ่นแรกของสยาม ช่างภาพหลวงถ่ายรูป ร.4-ร.5 สวยงาม
หลวงอัคนีนฤมิต (จิตร จิตราคนี) หรือ ฟรานซิส จิตร ช่างภาพหลวง ช่างภาพรุ่นแรกในสยาม ไม่ทราบปีที่ถ่าย (ภาพต้นฉบับจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เผยแพร่ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกันยายน 2526) ภาพถ่ายไม่ได้เป็นเพียงแค่วัตถุบันทึกความทรงจำเบื้องหน้าในแง่มุมต่างๆ เท่านั้น ในเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การถ่ายภาพสะท้อนทัศนคติ ความเชื่อ เทคโนโลยี...
เมืองพิษณุโลก เคยมีอีกชื่อว่า “เมืองชัยนาท” จริงหรือ? เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก ศูนย์กลางศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์สุโขทัยที่เมืองสองแคว-พิษณุโลก (ภาพถ่ายทางอากาศเมื่อ พ.ศ.2489 โดย วิลเลียมส์ ฮันท์) เมืองพิษณุโลก ในทางประวัติศาสตร์มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกสองชื่อ คือเมืองสองแควกับเมืองชัยนาท “สองแคว” เป็นชื่อที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปว่าเป็นชื่อดั้งเดิมของเมืองพิษณุโลก เพราะมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านเมือง คือแม่น้ำน่านกับแม่น้ำแควน้อย แม่น้ำน่านที่ไหลผ่านตัวเมืองนั้นเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน แม่น้ำแควน้อยนั้นไหลจากเทือกเขาทางทิศตะวันออกลงแม่น้ำน่านเหนือตัวเมืองขึ้นไปประมาณ 20 กิโลเมตร แต่ในอดีตแม่น้ำแควน้อยก่อนที่จะไหลลงแม่น้ำน่านนั้น ได้ไหลวกลงใต้ขนานกับแม่น้ำน่านโดยผ่านเมืองสองแคว มีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือวัดพระพุทธชินราชเป็นศูนย์กลางเมือง ตั้งอู่ระหว่างกลางขนาบโดยแม่น้ำทั้งสองสาย แม่น้ำแควน้อยไหลลงแม่น้ำน่าน...
เหลือเชื่อ! เมื่อชาวโพลินีเซียนสามารถย้าย “อารยธรรม” ของตนเองได้ด้วยเรือเพียงลำเดียว
ชาวตาฮิติผู้สืบเชื้อสายมาจากโพลินีเซียน ภาพจากWikimedia ผู้เขียน ศิวกร โรจน์ขจรนภาลัย เผยแพร่ วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2565 โพลินีเซีย (Polynesia) คือ กลุ่มหมู่เกาะกว่า 1,000 เกาะ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคโอเชียเนีย หมู่เกาะเหล่านี้อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งในบริเวณตอนกลาง และตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศเอกราช เช่น นิวซีแลนด์,...
ทางรถไฟสายมรณะ อยู่ในไทย แต่ไม่ใช่ของไทย และไทย[จำต้อง]ซื้อ
สะพานข้ามแม่น้ำแคว (ภาพจาก “หนังสือพิมพ์โรงพิมพ์การรถไฟ พ.ศ. 2514” ของคุณประวิทย์ สังข์มี) ที่มา เสมียนนารี เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2565 หากกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งหนึ่งที่หลายคนคิดถึงกันก็คือ “ทางรถไฟสายมรณะ” ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย...
ตามรอย “วัดท่าทราย” บริเวณที่ตั้ง ปืนใหญ่ปราบหงสา วัดเก่าแก่ที่ถูกลืมในอยุธยา
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2550 ผู้เขียน ปวัตร์ นวะมะรัตน เผยแพร่ วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2565 วัดท่าทราย ตั้งอยู่ริมคลองประตูข้าวเปลือกฝั่งตะวันออก ด้านทิศเหนือของเกาะเมืองศรีอยุธยา ตรงข้ามกับวัดราชประดิษฐาน ไม่พบประวัติว่าสร้างขึ้นแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นวัดเดียวกับที่ปรากฏชื่ออยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ....
นิสิตคนที่ 1 ของจุฬาลงกรณ์ ผู้ไม่เคยเข้าเรียนที่จุฬาฯ ?!?
ท่านเจ้าคุณราชเสนากำลังรับพระราชทานปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2510 ผู้เขียน คนไกล วงนอก เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2565 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ในปี 2510 เป็นปีที่ครบ 50 ปี พระยาราชเสนา...
ความเป็นกรุงเทพฯ ที่แท้จริง เริ่มสมัยรัชกาลที่ 3
กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณพระบรมมหาราชวัง เห็นพื้นที่สนามหลวงอยู่มุมซ้ายบน ตอนล่าง คือท่าราชวรดิษฐ์ (ภาพจาก กรุงเทพฯ 2489-2539) ที่มา กรุงเทพฯ มาจากไหน?, สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2548 ผู้เขียน สุจิตต์ วงษ์เทศ. เผยแพร่...
พระเจ้าตากสินฯ สถาปนากรุงธนบุรี เมืองสุพรรณ “ตกสำรวจ” ต้องรกร้างกว่า 80 ปี
วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช อำเภอเดิมบางนวช จังหวัดสุรรณบุรี (ภาพจาก หนังสือประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณโดย มนัส โอภากุล สำนักพิมพ์มติชน) ในปัจจุบันจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่ถนนหนทางดีจนคนหลายอิจฉา อาหารการกินไม่ว่าจะเป็น สาลี่, กุ้งแม่น้ำเผา ฯลฯ ก็อร่อยจนประเภทกินแล้วระลึกชาติได้ ย้อนกลับไปเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเมืองสุพรรณก็มีฐานะเป็นหนึ่งในเมืองหน้าด่านสำคัญ แต่เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรี เมืองสุพรรณกลับ “ตกสำรวจ” ต้องรกร้างเป็นเวลากว่า 80...
“เขมร” ไม่เรียกตัวเองว่า “ขอม” ไม่มีคำว่าขอมในภาษาเขมร คำว่า “ขอม” มาจากไหน?
ภาพวาดนครวัดจากหนังสือ Voyage d’exploration en Indo-Chine เมื่อ ค.ศ. 1866 ผู้เขียน เสมียนอารีย์ เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2565 “ขอม เป็นคำภาษาไทย กลายจากภาษาเขมร ใช้เรียกกลุ่มคนพวกที่อยู่ตอนล่าง (ในไทย)...
บันทึกชาวต่างชาติเผยสภาพคนกรุงเทพฯ ในอดีต ช่วงเปลี่ยนวิถีชีวิตจากบนน้ำสู่บก
คลองรอบกรุงผ่านตำบลบางลำพู สมัยรัชกาลที่ 5 บ้านเรือนตั้งเรียงรายสองฝากคลอง (ภาพจากหนังสือชื่อบ้านนามเมืองในกรุงเทพฯ) ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้คนในกรุงเทพฯ ยังมีวิถีชีวิตที่พึ่งพาแม่น้ำลำคลองอยู่เสมอ ดังที่ จอห์น ครอว์เฟิร์ด บันทึกสภาพการสัญจรของกรุงเทพฯ เมื่อปลายรัชกาลที่ 2 ความว่า “จากจำนวนเรือต่าง ๆ ทุกขนาดและทุกลักษณะ ซึ่งกำลังผ่านไปมา...
การ “ตากอากาศ” ครั้งแรกของคนไทย และ “ถนนขี่ม้าตากอากาศ”…คือที่ไหน?
ภาพถ่ายเก่า ถนนเจริญกรุง คำว่า “ตากอากาศ” ซึ่งมีความหมายว่าไปเที่ยวเพื่อพักผ่อน หรือเปลี่ยนบรรยากาศนั้น มีความเป็นมาอย่างไร คนไทยเริ่มใช้คำว่า “ตากอากาศ” ตั้งแต่เมื่อไหร่ เอนก นาวิมูลได้สืบเสาะ ค้นหาและรวบรวมข้อมูลมาเขียนเล่าไว้ในหนังสือ แรกมีในสยาม โดยมีใจความดังนี้ การ “ตากอากาศ” ในเมืองไทยปรากฏหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่เมื่อ 300 ปีที่แล้วคือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสถานที่ที่ทรงใช้ประทับพักผ่อนหรือตากอากาศนี้ก็คือที่พระราชวังลพบุรี ตามที่มีบันทึกในจดหมายเหตุบาทหลวงฝรั่งเศส ภาคที่...