ติดตามผ่านช่อง : Siammongkol Youtube Channel

วิวัฒนาการ “ธนบัตร” แห่งสยาม จาก “หมาย” สู่ “แบงก์” ชื่อเรียกติดปากของคนปัจจุบัน

วิวัฒนาการ “ธนบัตร” แห่งสยาม จาก “หมาย” สู่ “แบงก์” ชื่อเรียกติดปากของคนปัจจุบัน

ธนบัตรของไทยในอดีต ภาพซ้ายบนสุดคือ อัฐกระดาษ หรือหมาย (ขอบคุณภาพจากหนังสือ สิ่งพิมพ์สยาม โดย เอนก นาวิกวิมูล)

ผู้เขียน โชติกา นุ่นชู
เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2563

 

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นช่วงเวลาที่สยามมีการปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความเจริญก้าวหน้าทันสมัยในทุก  ด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อดำรงไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติท่ามกลางกระแสธารลัทธิจักรวรรดินิยมชาติตะวันตก ซึ่งกำลังแพร่ขยายอิทธิพลทางการเมือง การทหาร และการค้า เข้ามาสู่เบื้องบุรพทิศ

ด้วยพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการดำเนินนโยบายทางการเมืองด้วยการส่งคณะทูตเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศมหาอำนาจตะวันตก และยินยอมเปิดเสรีทางการค้ากับนานาอารยประเทศ สินค้าที่ทางการสยามเคยผูกขาดมาแต่เดิมนั้น ราษฎรและพ่อค้าชาวต่างชาติต่างก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างเสรี ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่ ยังผลให้รัฐบาลสยามต้องดำเนินการปรับปรุงระบบการผลิตเงินตราใหม่ทั้งหมด

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงินตราที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในท้องตลาดยังคงเป็นเงินพดด้วงและเบี้ยหอยเหมือนครั้งสมัยกรุงสุโขทัย แต่หลังจากรัฐบาลสยามได้เปิดเสรีทางการค้ากับนานาอารยประเทศแล้ว การติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวต่างชาติก็ขยายตัวเจริญเติบโตรุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเงินตราในปริมาณที่สูงขึ้นตามลำดับ

แต่เนื่องจากเงินพดด้วงเป็นเงินตรามูลค่าสูง มีกรรมวิธีการผลิตที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของพ่อค้าชาวต่างชาติ ยังผลให้เกิดสภาวะขาดแคลนเงินตราขึ้นในสยาม เงินพดด้วงมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ซับซ้อนและสามารถทำได้ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ  ทำให้มีผู้คิดปลอมแปลงเงินพดด้วงและนำออกใช้ปะปนอยู่ในท้องตลาดจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรและพ่อค้าชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์เงินตราขาดแคลนในครั้งนี้ด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ “เงินกระดาษ นำออกใช้ครั้งแรกใน .๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” หรือ “หมายแทนเงิน” เป็นกระดาษสีขาวพิมพ์ตัวอักษรและลวดลายด้วยหมึกสีดำ ประทับตราพระราชสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีรูปพระแสงจักร และพระราชลัญจกรประจำพระองค์รูปพระมหาพิชัยมงกุฎด้วยสีแดงชาด เพื่อป้องกันการปลอมแปลง หมายที่โปรดเกล้าฯ ให้จัดทำมี  ประเภท ได้แก่ หมายราคาต่ำ หมายราคาตำลึง และหมายราคาสูง อย่างไรก็ตามราษฎรยังคงคุ้นเคยกับเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราโลหะมาแต่โบราณ จึงไม่มีการใช้หมายแทนเงินกันอย่างแพร่หลายตามพระราชประสงค์

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำ ซึ่งเป็นเงินปลีกทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตราใน .๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า “อัฐกระดาษ ให้ราษฎรโดยใช้จ่ายแทนเหรียญที่ขาดแคลน แต่อัฐกระดาษก็ยังไม่เป็นที่นิยม

เงินกระดาษชนิดต่อมาคือ “บัตรธนาคาร” โดยธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้, ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ใน .๒๔๓๒ , ๒๔๔๑ และ ๒๔๔๒ ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทันต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ

ภาพจากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

บัตรธนาคารมีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบ เฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า ๑๓ ปี ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ภายหลังว่า “แบงก์” จนติดปากถึงทุกวันนี้

ขณะเดียวกันรัฐบาลสมัยนั้นได้พิจารณาเห็นว่าบัตรธนาคารของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีลักษณะคล้ายกับเงินตราของรัฐบาล ดังนั้น จึงควรจัดทำเสียเอง  ใน .๒๔๓๓ ได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า “เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ ประเทศเยอรมันนี จำนวน  ชนิดราคา กำหนดราคาตามมาตรฐานเงินแบบไทย ได้แก่  บาท  บาท ๑๐ บาท ๔๐ บาท ๘๐ บาท ๔๐๐ บาท และ ๘๐๐ บาท เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพเมื่อ .๒๔๓๕ แต่เนื่องจากความไม่พร้อมของทางการในการบริหาร จึงไม่ได้นำเงินกระดาษหลวงออกมาใช้

จนกระทั่ง .๒๔๔๕ จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน .๒๔๔๕ อีกทั้งโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง กรมธนบัตรในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตร รับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน .๒๔๔๕ จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา

ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธบบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑ ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่างสมบูรณ์

 

อ้างอิง :

..นิยม. (๒๕๕๗มกราคม). เหรียญกระษาปณ์ทำมือรุ่นแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ศิลปวัฒนธรรม๓๕(๓) : ๑๒๕๑๒๗๑๒๙

ธนาคารแห่งประเทศไทย. (๒๕๖๒). วิวัฒนาการเงินตราไทย. สืบค้นเมื่อ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ,จาก https://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Pages/default.aspx

เผยแพร่เนื้อหาครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

The post วิวัฒนาการ “ธนบัตร” แห่งสยาม จาก “หมาย” สู่ “แบงก์” ชื่อเรียกติดปากของคนปัจจุบัน appeared first on Thailand News.