
“อัปรีย์” แล้วทำไมต้องมี “สีกบาล” พ่วงต่อจนเป็น “อัปรีย์สีกบาล”?
(ซ้ายบน) เศียรของประติมากรรมรูปเหมือนพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พบที่ปราสาทพระขรรค์กำปงสวาย ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พนมเปญ (ฉากหลัง) สเปียงปราโต สะพานโบราณที่ชาวเขมรยังใช้สัญจรถึงปัจจุบัน
ที่มา
ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2546
ผู้เขียน
ศานติ ภักดีคำ
เผยแพร่
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2563
สำนวนที่ว่า “อัปรีย์สีกบาล” มักใช้เป็นสำนวนด่าว่าผู้ที่ทำอะไรไม่เหมาะสม คำว่า “อัปรีย์” คงไม่น่าสงสัยแต่อย่างใด เพราะแปลว่า “ไม่น่ารัก” เหตุที่แปลอย่างนี้ด้วยเป็นคำภาษาสันสกฤตที่สมาสกันระหว่างคำว่า “อัป” แปลว่า “ไม่” กับคำว่า “ปรียะ” (หรือที่ภาษาบาลีใช้ว่า “ปิยะ”) แปลว่า “น่ารัก”
เพราะฉะนั้น “อัปรีย์” จึงมีความหมายตามศัพท์ว่า “ไม่น่ารัก”
แต่เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทยความหมายของคำนี้เปลี่ยนไปในทางลบมากขึ้น เพราะเรานำมาใช้เป็นคำด่า
ส่วนคำว่า “สีกบาล” แปลว่าอะไร
“สี” เป็นคำภาษาเขมร ออกเสียงตามภาษาเขมรว่า “ซี” แปลว่า “กิน” เป็นคำเขมรที่มีใช้มาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยกลาง (คือสมัยหลังพระนครลงมา ร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา) เพราะไม่พบในภาษาเขมรโบราณสมัยพระนคร แต่ในปัจจุบันคำนี้ชาวไทยเชื้อสายเขมรแถบจังหวัดสุรินทร์ ยังคงพูดกันอยู่ในวลีที่ว่า “สีบาย” (ซีบาย) แปลว่า “กินข้าว”
แม้แต่ในพจนานุกรมเขมรฉบับ พ.ศ. 2511 คำนี้ยังหมายถึง “กิน” ที่ใช้กับคนอยู่ ดังนี้ “สี, บริโภคโภชนาหาร พูดเฉพาะคนบริโภค, ใช้ตามชั้นบุคคล ดังนี้…” (วจนานุกฺรมแขฺมร : 2511, 1356)
แต่ในภาษาเขมรปัจจุบันที่มีใช้อยู่ในประเทศกัมพูชา คำว่า “สี” ถูกลดระดับการใช้ จากเดิมที่ใช้กับ “คน” ไปเป็นคำที่ใช้กับสัตว์ เช่น หมา หรือแมว เช่น “ฉแกร์ซีปาย” แปลว่า “หมากินข้าว” เป็นต้น แต่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับ “คน” (ตามความเปลี่ยนแปรของภาษาเขมรเมื่อไม่นานมานี้)
อย่างไรก็ตามคำว่า “สี” ที่แปลว่า “กิน” ยังมีใช้อยู่ในสำนวนภาษาเขมร เช่น “รกสี” (โรก-ซี) แปลว่า “หากิน, ทำมาหากิน” เป็นต้น
“กบาล” เป็นคำที่ไทยรับมาจากภาษาเขมรว่า “กฺบาล” ซึ่งอาจจะรับผ่านภาษาสันสกฤตมาอีกทอดหนึ่ง หมายถึง “หัว, ศีรษะ” ใช้กับคำว่า “ศีรษะ” โดยทั่วไปไม่เจาะจงใช้กับคำหยาบเหมือนในภาษาไทยที่กลายความไปแล้ว
คำว่า “หัว” หรือ “ศีรษะ” ในภาษาเขมรแต่เดิมน่าจะใช้คำว่า “ตฺบูง” (ตฺโบง) แปลว่า “หัว” คำนี้ยังปรากฏอยู่ในภาษาเขมรบ้าง เช่น “ขางตฺบูง” (คาง-ตฺโบง) หมายถึง “ทิศหัว (นอน)“ คือ “ทิศใต้” และภาษาไทยเรารับคำนี้มาใช้ในคำว่า “ทบวง” อย่าง “ทบวงมหาวิทยาลัย” ที่ถูกยุบไปรวมกับกระทรวงศึกษาธิการแล้ว
ดังนั้นเมื่อรวมความคำว่า “สี” กับ “กบาล” เข้าด้วยกัน ก็จะแปลว่า “กินหัว” และประกอบกับคำว่า “อัปรีย์” จะได้สำนวนที่ว่า “อัปรีย์สีกบาล” ซึ่งหมายถึง “อัปรีย์กินหัว” นั่นเอง
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 มีนาคม 2560
Source: https://www.silpa-mag.com/history/article_7346
The post “อัปรีย์” แล้วทำไมต้องมี “สีกบาล” พ่วงต่อจนเป็น “อัปรีย์สีกบาล”? appeared first on Thailand News.
More Stories
คำสาปของสายน้ำ “น้ำของ-น้ำโขง” และ “น้ำคง-น้ำสาละวิน” เคยเป็นเพื่อนรักกัน?
แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านเมืองเชียงแสน ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มีนาคม 2547 เผยแพร่ วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2565 มีเรื่องที่เล่ากันมานานในหมู่คนแห่งลุ่มน้ำโขงและสาละวินว่า แม่น้ำโขงและสาละวินไม่ถูกกัน หากเดินทางในแม่น้ำโขงห้ามพูดถึงแม่น้ำสาละวิน หากเดินทางในแม่น้ำสาละวินห้ามพูดถึงแม่น้ำโขง คนท้องถิ่นมักเรียกแม่น้ำโขงว่า “ของ” และเรียกแม่น้ำสาละวินว่า “คง” ชาวไทยใหญ่เล่ากันว่า...
แรกมี ‘น้ำมันก๊าด’ ใช้ในสยาม ราษฎรไม่คุ้นชินจนเกิดไฟไหม้หลายคดี
วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าวัดมีรถรางไฟฟ้าวิ่งบนถนนจักรพงษ์ ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2558 ผู้เขียน ดร. นนทพร อยู่มั่งมี เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ.2565 การให้แสงสว่างแก่ที่พักอาศัย ในยุคที่กรุงเทพฯ ยามค่ำคืนปราศจากแสงไฟฟ้าซึ่งต้องพึ่งพาแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันเป็นหลัก และแม้จะมีไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2427 แต่แสงสว่างชนิดนี้จำกัดอยู่เฉพาะการใช้งานของรัฐ เช่น ตามท้องถนนบางสาย กับตามบ้านเรือนของผู้มีฐานะซึ่งต้องซื้อหาอุปกรณ์และจ่ายค่าไฟในราคาสูง การที่แสงสว่างจำกัดส่งผลต่อกิจวัตรของผู้คน เช่น ความบันเทิง และการสัญจรของราษฎร เช่นที่ขุนวิจิตรมาตรากล่าวถึงวิถีชีวิตในกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ดังนี้ “มหรสพสมัยโน้น (ยังไม่มีไฟฟ้า) แสดงแต่วันข้างขึ้น ราวขึ้น 8 ค่ำ ไปจนถึงประมาณสามทุ่ม พระจันทร์ยังสว่างอยู่ ข้างแรมเดือนมืดไม่มีแสดง โรงละครนฤมิตรที่วัดสระเกศเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้แสดงตอนบ่าย พอถึงเย็นก็เลิก ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเริ่มไปอยู่กรุงเทพฯ มีไฟฟ้าแล้ว คือเพิ่งเริ่มจะมีโดยเฉพาะตามถนนนั้นขึงสายไฟฟ้าขวางระหว่างตึก ดวงโคมไฟฟ้าห้อยติดกับสายอยู่กลางถนนแต่สูงมาก แสงไฟก็ริบหรี่ไม่สว่าง คนเดินอาศัยร้านเจ๊กเขียนหวย ซึ่งมีตะเกียงกระจกตั้งโต๊ะสว่างไปสองข้างถนนระยะห่างๆ กันไปสว่างมากกว่าไฟฟ้า ไฟฟ้าเมื่อแรกมีนี้ ถ้าเป็นข้างขึ้นพระจันทร์สว่าง ไฟดับหมด พอถึงข้างแรมพระจันทร์มืดจึงเปิดไฟ สลับไปอย่างนี้ทุกข้างขึ้นข้างแรม ส่วนตามตึกบ้านเรือนที่ต้องการใช้ไฟฟ้า คิดค่าเช่าเป็นดวงๆ ละ 6 สลึง (หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์) ดวงหนึ่งไฟ 10 แรงเทียน จะติดกี่ดวงก็ได้ตามราคาที่คิดเป็นดวง เท่าที่เห็นใช้กันเพียงหนึ่งหรือสองดวงเท่านั้น ไฟฟ้าดีอย่างหนึ่งเป็นการบอกเวลา คือเวลาสองทุ่มตรง ไฟจะดับแวบหนึ่งให้รู้ว่าสองทุ่ม ใครมีนาฬิกาก็ตั้งจากไฟฟ้าได้ทันที”...
เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนที่ใช้เวลาถึง 5 แผ่นดิน จึงได้ก่อสร้าง?
เขื่อนเจ้าพระยาทอดขวางแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท มีสะพานเชื่อมพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำ และประตูน้ำติดกับเขื่อนเพื่อให้เรือล่องผ่านเขื่อนไปมาได้ ภาพถ่ายเมื่อเขื่อนเปิดใช้งาน พ.ศ. 2500 (ภาพจาก “ประวัติศาสตร์ชัยนาท”) เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนทดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างอยู่บนแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท ในโครงการชลประทานใหญ่เจ้าพระยาใหญ่ ที่มีแนวคิดในการก่อสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็มีอันต้องเลื่อนโครงการออกไปถึง 2 ครั้ง กว่าจะได้ลงมือดำเนินและแล้วเสร็จก็ผ่านมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 เหตุขัดข้องในการสร้าง...
เปิดชีวิต ฟรานซิส จิตร ช่างภาพรุ่นแรกของสยาม ช่างภาพหลวงถ่ายรูป ร.4-ร.5 สวยงาม
หลวงอัคนีนฤมิต (จิตร จิตราคนี) หรือ ฟรานซิส จิตร ช่างภาพหลวง ช่างภาพรุ่นแรกในสยาม ไม่ทราบปีที่ถ่าย (ภาพต้นฉบับจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เผยแพร่ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกันยายน 2526) ภาพถ่ายไม่ได้เป็นเพียงแค่วัตถุบันทึกความทรงจำเบื้องหน้าในแง่มุมต่างๆ เท่านั้น ในเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การถ่ายภาพสะท้อนทัศนคติ ความเชื่อ เทคโนโลยี...
เมืองพิษณุโลก เคยมีอีกชื่อว่า “เมืองชัยนาท” จริงหรือ? เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก ศูนย์กลางศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์สุโขทัยที่เมืองสองแคว-พิษณุโลก (ภาพถ่ายทางอากาศเมื่อ พ.ศ.2489 โดย วิลเลียมส์ ฮันท์) เมืองพิษณุโลก ในทางประวัติศาสตร์มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกสองชื่อ คือเมืองสองแควกับเมืองชัยนาท “สองแคว” เป็นชื่อที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปว่าเป็นชื่อดั้งเดิมของเมืองพิษณุโลก เพราะมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านเมือง คือแม่น้ำน่านกับแม่น้ำแควน้อย แม่น้ำน่านที่ไหลผ่านตัวเมืองนั้นเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน แม่น้ำแควน้อยนั้นไหลจากเทือกเขาทางทิศตะวันออกลงแม่น้ำน่านเหนือตัวเมืองขึ้นไปประมาณ 20 กิโลเมตร แต่ในอดีตแม่น้ำแควน้อยก่อนที่จะไหลลงแม่น้ำน่านนั้น ได้ไหลวกลงใต้ขนานกับแม่น้ำน่านโดยผ่านเมืองสองแคว มีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือวัดพระพุทธชินราชเป็นศูนย์กลางเมือง ตั้งอู่ระหว่างกลางขนาบโดยแม่น้ำทั้งสองสาย แม่น้ำแควน้อยไหลลงแม่น้ำน่าน...
เหลือเชื่อ! เมื่อชาวโพลินีเซียนสามารถย้าย “อารยธรรม” ของตนเองได้ด้วยเรือเพียงลำเดียว
ชาวตาฮิติผู้สืบเชื้อสายมาจากโพลินีเซียน ภาพจากWikimedia ผู้เขียน ศิวกร โรจน์ขจรนภาลัย เผยแพร่ วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2565 โพลินีเซีย (Polynesia) คือ กลุ่มหมู่เกาะกว่า 1,000 เกาะ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคโอเชียเนีย หมู่เกาะเหล่านี้อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งในบริเวณตอนกลาง และตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศเอกราช เช่น นิวซีแลนด์,...
ทางรถไฟสายมรณะ อยู่ในไทย แต่ไม่ใช่ของไทย และไทย[จำต้อง]ซื้อ
สะพานข้ามแม่น้ำแคว (ภาพจาก “หนังสือพิมพ์โรงพิมพ์การรถไฟ พ.ศ. 2514” ของคุณประวิทย์ สังข์มี) ที่มา เสมียนนารี เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2565 หากกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งหนึ่งที่หลายคนคิดถึงกันก็คือ “ทางรถไฟสายมรณะ” ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย...
ตามรอย “วัดท่าทราย” บริเวณที่ตั้ง ปืนใหญ่ปราบหงสา วัดเก่าแก่ที่ถูกลืมในอยุธยา
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2550 ผู้เขียน ปวัตร์ นวะมะรัตน เผยแพร่ วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2565 วัดท่าทราย ตั้งอยู่ริมคลองประตูข้าวเปลือกฝั่งตะวันออก ด้านทิศเหนือของเกาะเมืองศรีอยุธยา ตรงข้ามกับวัดราชประดิษฐาน ไม่พบประวัติว่าสร้างขึ้นแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นวัดเดียวกับที่ปรากฏชื่ออยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ....
นิสิตคนที่ 1 ของจุฬาลงกรณ์ ผู้ไม่เคยเข้าเรียนที่จุฬาฯ ?!?
ท่านเจ้าคุณราชเสนากำลังรับพระราชทานปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2510 ผู้เขียน คนไกล วงนอก เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2565 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ในปี 2510 เป็นปีที่ครบ 50 ปี พระยาราชเสนา...
ความเป็นกรุงเทพฯ ที่แท้จริง เริ่มสมัยรัชกาลที่ 3
กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณพระบรมมหาราชวัง เห็นพื้นที่สนามหลวงอยู่มุมซ้ายบน ตอนล่าง คือท่าราชวรดิษฐ์ (ภาพจาก กรุงเทพฯ 2489-2539) ที่มา กรุงเทพฯ มาจากไหน?, สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2548 ผู้เขียน สุจิตต์ วงษ์เทศ. เผยแพร่...
พระเจ้าตากสินฯ สถาปนากรุงธนบุรี เมืองสุพรรณ “ตกสำรวจ” ต้องรกร้างกว่า 80 ปี
วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช อำเภอเดิมบางนวช จังหวัดสุรรณบุรี (ภาพจาก หนังสือประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณโดย มนัส โอภากุล สำนักพิมพ์มติชน) ในปัจจุบันจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่ถนนหนทางดีจนคนหลายอิจฉา อาหารการกินไม่ว่าจะเป็น สาลี่, กุ้งแม่น้ำเผา ฯลฯ ก็อร่อยจนประเภทกินแล้วระลึกชาติได้ ย้อนกลับไปเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเมืองสุพรรณก็มีฐานะเป็นหนึ่งในเมืองหน้าด่านสำคัญ แต่เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรี เมืองสุพรรณกลับ “ตกสำรวจ” ต้องรกร้างเป็นเวลากว่า 80...
“เขมร” ไม่เรียกตัวเองว่า “ขอม” ไม่มีคำว่าขอมในภาษาเขมร คำว่า “ขอม” มาจากไหน?
ภาพวาดนครวัดจากหนังสือ Voyage d’exploration en Indo-Chine เมื่อ ค.ศ. 1866 ผู้เขียน เสมียนอารีย์ เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2565 “ขอม เป็นคำภาษาไทย กลายจากภาษาเขมร ใช้เรียกกลุ่มคนพวกที่อยู่ตอนล่าง (ในไทย)...