ติดตามผ่านช่อง : Siammongkol Youtube Channel

รามเกียรติ์

รามเกียรติ์ ตอนที่ 5 มหาศึกตรีบูรัม

ทางกรุงมหาพิชัยลงกา เมื่อท้าวจตุรพักตร์ผู้เป็นปฐมกษัติย์เสด็จสวรรคต ราชบุตร ชื่อ ลัสเตียน ก็ขึ้น ครองราชย์ เป็นกษัตริย์ ครองกรุงพิชัยลงกาต่อจากพระบิดา โดยมีพระมเหสีห้าองค์ได้แก่
-นางชาลีสุมณฑาเทวี
-นางจิตรมาลีเทวี
-นางสุวรรณมาลัยเทวี
-นางประไพเทวี
-และนางรัชดาเทวี

ท้าวมาลีวราช (มาลีวัคคพรหม) ผู้ที่เป็นพี่ชายของ ธาดาพรหม (จตุรพักตร์) ที่สวรรค์คตไป ได้ลงมาที่เมืองพิชัยลงกาเพื่อเยี่ยมน้องชาย แต่เมื่อมาถึงก็ทราบว่าน้องชายคือ จตุรพักตร์ นั้นสวรรคตไปแล้ว จึงทำได้เพียงฝากฝังให้ ลัสเตียน ผู้เป็นหลานปกครองกรุงลงกาให้ร่มเย็นเป็นสุข แล้วลากลับไปประทับยังเขาพระสุเมรุดังเดิม

ในเวลานั้น ณ.เมืองโสฬส เป็นเมืองที่มีอสูร หนึ่งชื่อ “ตรีบูรัม” เป็นราชาอสูรผู้มีฤทธิ์เดขเกรียงไกร เป็นที่เกรงขามไปทั่ว ตรีบูรัมต้องการที่จะมีฤทธิ์เดชที่เหนือกว่าผู้ใด จึงจัดทำพิธี กองกูณฑ์อัคคี คือทำพิธีบูชาไฟ ใต้ต้นรังใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำสารภู โดยใช้เวลาทำพิธี นานถึงเจ็ดปีเจ็ดวัน จึงสำเร็จพิธี

ฝ่ายพระอิศวรประทับอยู่บนราชอาสน์ แห่งไกรลาส ได้หยั่งทราบด้วยตาทิพย์ลงมาเห็น ตรีบูรัมทำพิธีอยู่ริมน้ำสารภู ก็ทรงโคอุศุภราช วัวพาหนะของพระอิศวร แล้วเหาะมาหาตรีบูรัม และถามไปว่า ที่มึงมาทำพิธีกองกูณฑ์อัคคี เป็นเวลาช้านานถึงเจ็ดปีเจ็ดวัน มีประสงค์อันใด ตรีบูรัมจึงทูลตอบไปว่า ข้าพเจ้าต้องการพรศักดิ์สิทธิ์ให้มีฤทธิ์เดชมหาศาล แม้แต่องค์พระนารายณ์ก็มิอาจจะสังหารตนได้ พระอิศวรจึงประทานพรตามที่ขอ แล้วกำชับว่า เมื่อได้พรแล้วจงอย่านำไปใช้ในทางไม่ดี อย่าใช้ย่ำยีทำร้ายร้ายคนอื่น ขอให้จำคำสั่งสอนของกูเอาไว้ให้ดี แล้วมึงจงกลับไปปกครองกรุงโสฬสให้มีความสวงบสุขเถิด ฝ่ายตรีบูรัมก็รับปากพระอิศวรว่าจะปกครองเมืองด้วยทศพิธราชธรรม ประพฤติความดีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พระอิศวรจึงทรงโคอุศุภราชกลับสู่พิมานเขาไกรลาสดังเดิม

ฝ่ายตรีบูรัมกลับถึงนครโสฬส ก็มีจิตกำเริบคะนอง ด้วยการเหาะขึ้นไปบนสรวงสวรรค์แล้วบังคับนางฟ้านางสวรรค์ซึ่งเป็นบาทบริจาริกา หรือ หญิงรับใช้ ของเหล่าเทวดาให้มาร่วมรักเป็นของตน ในทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต ล่วงไปถึงชั้น นิมมานรดี ปรนิมมานรดี ก็ไม่มีว่างเว้น เที่ยวประพฤติบังคับเริงรัก กับนางฟ้าจนสมใจตนแล้วจึงเหาะกลับเมืองโสฬส

เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหกชั้นฟ้า ต่างก็ได้รับความอับอาย และสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกแดนสวรรค์ ต่างก็พากันมาเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาสเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อพระอิศวรทรงทราบ ก็โกรธที่ยักษ์ตรีบูรัม ทำผิดสัตย์วาจาที่ให้ไว้กับตน ที่ใช้พรวิเศษในทางที่ไม่ถูกไม่ควร จึงปรึกษากับพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์ได้ทูลว่าศึกคราวนี้คงจะไม่มีผู้ใดปราบตรีบูรัมได้ แม้แต่พระนารายณ์หรือ พระพรหมก็คงเอาชนะพญามารผู้นี้ได้ เนื่องจากได้รับพรวิเศษจากตน จึงเรียกเทวาผู้ใกล้ชิด ชื่อ “จิตตุบท” และ “จิตุบาท” ให้ไปเชิญพระนารายณ์และพระพรหมมาช่วยกันหาทางเอาชนะศึกนี้ เพื่อสร้างความสุขสงบไปทั่วโลกมนุษย์ สวรรค์ชั้นฟ้า และบาดาล

เมื่อพระนายรายณ์และพระพรหมมาเข้าเฝ้า พระอิศวรก็ตรัสว่า การปราบยักษ์ตรีบูรัมครั้งนี้เป็นศึกที่ใหญ่หลวงนัก เพราะด้วยพรวิเศษที่ได้รับไปว่ามิมีใครสังหารได้ องค์พระอิศวรจึงต้องออกโรงไปทำศึกด้วยตนเอง แล้วก็คิดอุบายสร้างอาวุธเพื่อใช้สังหารพญายักษ์ตรีบูรัม โดยเอาพลังของพระพรหมสร้างเป็นเสื้อเกราะ แล้วใช้กำลังของพระสุเมรุเป็นคันศร ชื่อ “มหาโลหะโมลี” แล้วเอาพญาอนันตนาคราช ให้มาเป็นสายธนู เอากำลังพระนารายณ์เป็นลูกธนู กลายเป็นอาวุธที่วิเศษสุดไม่มีเทพศัตราวุ) ใดๆเทียบได้ สำหรับใช้ฆ่าตรีบูรัม

เมื่อมีอาวุธแล้วก็สั่งจัดกองทัพ โดยจัดแบ่งหน้าที่คือ พระขันธกุมาร (ลูกชายพระอิศวร) เป็นทัพหน้าคุมอสูรหน่วยพิฆาต พระราหู เป็นคนถือธงชัยประจำทัพ พระพิเนตร (พิฆเณศ – ลูกของพระอิศวรอีกองค์ ที่มีหัวเป็นช้าง) เป็นแม่ทัพคุมกองทัพปีกซ้ายคุมผีพราย พระพินาย (น้องชายพระพิเนตร – เจ้าแห่งช้าง ผู้สร้างช้างเอราวัณ) เป็นแม่ทัพคุมกองทัพปีขวาคุมคนธรรพ์
พระกาล (เทพแห่งเวลา ที่ล่วงรู้การเกิดการตายของสรรพสิ่ง) คุมเกียกกาย (กองเสบียง) และเหล่าวิทยาธร ท้าวเวสสุวรรณ (ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเจ้าแห่งยักษ์) เป็นยกกระบัตร (กองดูแลอาวุธ) คุมพวกยักษ์ พระเพลิง (เจ้าแห่งไฟ) เป็นกองหลัง คุมพวกอสุรกายและภูต

โดยพระอิศวรทรงโคอุศุภราชเป็นแม่ทัพใหญ่ แล้วก็ยกทัพไปยังเมืองโสฬส แล้วล้อมเมืองโสฬสของตรีบูรัมไว้

ตรีบูรัม เมื่อเห็นมีทัพมาล้อมเมืองไว้ โดยมิได้รู้ว่าเป็นกองทัพของผู้ใดก็โกรธยิ่งนัก และทำการเรียกไพร่พลเสนายักษ์เตรียมจัดทัพไว้รับมือเหล่าข้าศึก แล้วจัดกระบวนทัพทรงมหาพิชัยราชรถ ออกไปรับศึกนอกเมือง เมื่อเผชิญหน้ากับพระอิศวรจึงได้รู้ว่า ข้าศึกที่ยกมาพระชิดเมืองครั้งนี ้เป็นกองทัพของพระอิศวร ก็บังเกิดความเกรงกลัว เพราะเป็นมหาเทพชั้นผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา แต่ก็ร้องถามไปว่าตนเองทำผิดอันใด พระอิศวรผู้เป็นใหญ่ถึงได้ยกทัพมารังแกตน

พระอิศวรได้ยินดังนั้นจึงตอบว่ามึงผิดคำสัตย์ที่ให้ไว้ในวันขอพรกับกู เพราะประพฤติผิดธรรมเนียมประเพณี สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ เทวาและนางฟ้า ไม่อาจอยู่อย่างสงบสุข

ตรีบูรัม ได้ฟังดังนั้นแล้ว ยังคงใจทรงนงตนที่จะรบ ให้รู้แพ้ชนะ เพราะว่าถ้าแพ้ก็แพ้พระอิศวร ถ้าถึงตายก็คงเป็นพรหมลิขิตว่าต้องตาย จึงสั่งเหล่าทหารให้เข้ารบกับกองทัพของพระอิศวรอย่างกล้าหาญ ฝ่ายพระขันทกุมารก็นำทัพผีเข้าตีทัพยักษ์แตกบ่ายกลับไป เมื่อตรีบูรัม เห็นฝ่ายตนเพลี่ยงพล้ำ ก็ชักราชรถออกมาสูรบเอง เสียงดั่งสนั่นสั่นสะเทือนไปทั่วถึงสวรรค์ ดังแผ่นดินจะทรุดด้วยฤทธิ์ของพญายักษ์ เมื่อพระอิศวรเห็น ตรีบูรัมออกมารบด้วยตนเองก็ขับโคออกไป แล้วพระอิศวรก็หยิบศรพระนารายณ์ ขึ้นพาดสายแล้วก็ยิงออกไป แต่ยิงไปสามครั้งก้ไม่หลุดจากสาย เนื่องจากพระนารายณ์ที่เป็นศรนั้นกำลังนอนหลับสนิท ด้วยความโกรธของพระอิศวรจึงขว้างธนูออกไป เมื่อลูกศรตกถึงพื้น พระนารายณ์ถึงตื่นจากหลับ แล้วเข้ามากราบพระอิศวรเพื่อขออภัย แล้วบอกกับพระอิศวรว่า ที่ตนหลับไปนั้นเป็นเพราะพรวิเศษของพระอิศวรเอง ที่ให้กับตรีบูรัมไว้ ว่า แม้แต่พระนารายณ์ก็ไม่อาจฆ่าขุนมารผู้นี้ได้ จึงส่งผลให้พระนารายณ์นอนหลับ พระอิศวรมิอาจแผลงศร (ยิงธนู) เพื่อฆ่าตรีบูรัมผู้นี้ได้

เมื่อพระอิศวรทราบดังนั้น ก็หายโกรธพระนารายณ์ และบอกว่าเมื่อธนูนี้สังหารตรีบูรัมไม่ได้ เราจะใช้ตาไฟ ดวงตาที่สามกลางหน้าผากพระอิศวร บันดาลเพลิงกรดให้เผาตรีบูรัม แต่ถ้าตาไฟเปิดไฟจะไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง พระอิศวรจึงใช้กล้องมณี ส่องเล็งไปที่ตัวยักษ์ตรีบูรัม แล้วก็เปิดตาไฟ พริบตาเดียวไฟกรดก็เผาไหม้ตรีบูรัมสิ้นชีพไป จบสิ้นศึกปราบตรีบูรัม

เมื่อจบศึก้ พระอิศวรจึงสั่งให้มอบธนูมหาโลหะโมโล เก็บไว้ที่กรุงมิถินา ธนูนี้จะมีความสำคัญมากในภายหน้า เพราะเป็นศรวิเศษของพระราม (พระนารายณ์อวตาล) ส่วนเกราะแก้วนั้นให้ พระอัคตะดาบส เป็นผู้เก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้กับพระนารายณ์ที่จะอวตารลงมาปราบยักษ์ในภายภาคหน้า แล้วก็ยกทัพกลับเขาไกรลาสไป